วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

กุุ้งเป็นโรคขี้ขาวใช้ไคโตซานฟาร์มโอเค หายภายใน 3วัน

กุ้งเป็นโรคขี้ขาว


อาการขี้ขาวเป็นอาการที่คนเลี้ยงกุ้งสามารถพบได้ทุกช่วงของการเลี้ยงตั้งแต่อายุ 25 วันจนถึงจับ แต่จากการเก็บข้อมูลที่มีปัจจุบันพบว่าช่วงที่มีพบเริ่มต้นคืออายุประมาณ 45-60 วัน และนับวันจะเป็นปัญหาที่รบกวนเกษตรกรเป็น อย่างมากใน แต่ละปี โดย

การเกิดขี้ขาวพอจะแบ่งความรุนแรงได้ 2 ลักษณะ 


1. หากเป็นขี้ขาวลอยมากและค่อนข้างเป็นเส้นที่ละเอียดและลอยเป็นจำนวนมาก ใช้มือบีบขี้ที่ลอยน้ำจะนุ่มละเอียด และทวีความรุนแรงภายใน 3-5 วัน จนเป็นสาเหตุให้การกินอาหารลดลงมาก และดูสภาพเซลล์ตับ-ตับอ่อน และเม็ดไขมันประกอบพบว่า กุ้งจะมีอาการตับฝ่อร่วมกับการเป็นขี้ขาว เซลล์ตับและเซลล์เม็ดไขมันไม่มีเลยโดนทำลายหมดหรือหลุดออกมาหมด

(ขี้ขาวที่เห็นเมื่อส่องกล้องจะเจอแต่เม็ดไขมัน)และเกือบทุกกรณีตรวจพบเชื้อแบคทีเรียทั้งในเซลล์ตับและตับอ่อน และในลำไส้เกิดการอักเสบ อย่างรุนแรง(ปัจจุบันดร.ชลอและทีมงานได้พิสูจน์ให้เห็นว่ากุ้งที่เป็นขี้ขาวจากหลายๆฟาร์ม

เมื่อดูดเลือดกุ้งมาเพาะเชื้อจะพบเชื้อแบคทีเรียมากกว่าภาวะปกติหลายเท่า)

ส่วนคุณภาพน้ำที่เจอเราพบว่ามีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาขี้ขาวคือ ถ้าคุณภาพน้ำในบ่อมีปัญหาเรื่อง แอมโมเนีย แก๊สไข่เน่า หรือไนไตร์ทสูงช่วงที่มีการระบาดของอาการขี้ขาวจะพบในบ่อดังกล่าวง่ายครับ อีกทั้งกรณีการเกิดสาหร่ายกลุ่มสีเขียวแกมน้ำเงิน เช่น สาหร่ายขนแมว (Oscillatoria spp.) สาหร่ายเม็ด (Microcystis spp.) แพลงก์ตอนกลุ่มไดโนแฟลกเจลเลต(Dinoflagellate)ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับสารพิษ

ที่สาหร่ายกลุ่มนี้ที่สามารถสร้างและทำให้กุ้งเกิดความ เครียดจนเป็นสาเหตุโน้มนำให้เกิดการทำลายของ

เชื้อแบคทีเรียตามมา (Secondary infection)ได้เช่นกัน



2. กรณีที่เป็นขี้ขาว แต่ไม่รุนแรง และลักษณะเส้นขี้ขาวที่ลอยน้ำ เส้นยาว ๆ และใช้มือบีบจะมีลักษณะเป็นเม็ดสาก ๆ การตายจะไม่รุนแรง การกินอาหารจะไม่ลดลงมาก แต่จะไม่กินเพิ่มทำให้การเลี้ยงไม่ประสบผลสำเร็จเพราะกุ้งจะกินอยู่เท่าเดิมตลอด หรือค่อย ๆ ลดปริมาณลง การแก้ปัญหาการกินสารแก้ขี้ขาวทั่วไป ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งประเด็นนี้น่าจะมาจากการที่กุ้งย่อยอาหารไม่สมบูรณ์หรือสิ่งที่กุ้งกินเข้าไปไม่เหมาะสมกับการนำไปใช้ของตัวกุ้ง



สาเหตุการเกิดขี้ขาว


1. ขี้ขาวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio parahaemolyticus (โคโลนีสีเขียว)

ž V. fluvialis (โคโลนีสีเหลือง) V. vulnificus (โคโลนีสีเขียว) V. mimicus (โคโลนีสีเขียว)

ซึ่งพบทุกพื้นที่เพราะไม่ว่าจะสาเหตุเริ่มต้นเพราะอะไร สุดท้ายแบคทีเรียก็เข้ามาสมทบ หลังจากที่กุ้งเกิดความเครียด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเขตน้ำจืดหรือเลี้ยงความเค็มปกติ ความเค็มสูงก็สามารถเจอได้เหมือนกัน ความรุนแรงคล้าย ๆ กัน หากเกษตรกรให้กุ้งกินสารแก้ถูกชนิด(การผสมกรดอินทรีย์ในอาหาร หรือ ผสมโปรไบโอติกในอาหาร)ตอนเริ่มเป็นก็สามารถลดความรุนแรงได้ และหากสภาพแวดล้อมไม่ดีกุ้งก็จะกลับมาเป็นขี้ขาวอีกและหนักกว่าเดิม และเป็นสาเหตุหลักของการขาดทุนและต้องจับก่อน กำหนด



2. ขี้ขาวที่เกิดจากพวกพยาธิ ชื่อ กรีการีน จากข้อมูลที่เก็บและลงพื้นที่ด้วยตนเองพบว่าปัญหาขี้ขาวในบางพื้นที่ของไทยเกิดจากพยาธิกรีการีนจริงๆ

เพราะตรวจเองและก็เจอจริงๆเช่นในอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง อาการขี้ขาวที่เกิดจากพยาธิที่ทำลายลำไส้กุ้งเริ่มจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นสาเหตุให้แบคทีเรียทำลายสุดท้ายรักษาไม่หายก็ต้องจับกุ้งเพราะว่ากุ้งกิน อาหาร ไม่เพิ่ม มีแต่เท่าเดิมหรือลดลงซึ่งความรุนแรงตอนนี้พบทั้งในน้ำจืด และเป็นปัญหาหนักในเขตที่เลี้ยงความเค็ม

หากขี้ขาวเกิดจากพยาธิชื่อกรีการีน เราสามารถแก้ได้โดยการให้กินกระเทียม 10 กรัม/อาหารกุ้ง 1 กิโลกรัมติดต่อกัน5วัน หรือล่าสุด ที่ น.สพ. วิศณุ บุญญาวิวัฒน์(จากงานประชุมวิชาการที่จุฬาฯกันยายน2553) แนะนำว่าถ้ากุ้งอายุไม่เกิน60 วันจะแนะนำให้กินยากลุ่มcoccidiostat(ยาแก้โรคบิดในสัตว์บก) เน้นนะครับว่าถ้ากุ้งอายุมากกว่านี้ไม่ให้กินยาโดยเด็ดขาด แต่โดยความคิดเห็นส่วนตัวผมแนะนำให้ผสมกระเทียมดีกว่า



3. ขี้ขาวที่เกิดจากสารพิษต่าง ๆที่สามารถทำให้กุ้งเกิดการระคายเคืองในลำไส้ เช่น กรณีอาหารไม่ได้คุณภาพ สารพิษจากเชื้อรา สารพิษจากแพลงก์ตอน ซึ่งกลุ่มนี้จริง ๆ เจอน้อยมาก ส่วนมากจะโดนสมทบโดยพยาธิและแบคทีเรีย แก้ปัญหาเปลี่ยนอาหาร เปลี่ยนถ่ายน้ำลดกลุ่มแพลงก์ตอนเดิม



แนวทางการป้องกันและรักษาโรคขี้ขาว


1. ควรนำกุ้งและขี้กุ้งไปให้นักวิชาการที่มีความชำนาญตรวจเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อป้องกันการเกิดปัญหา

2. การให้กุ้งกินโปรไบโอติกเพื่อป้องกันการติดเชื้อในลำไส้หรือทางเดินอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เป็นการป้องกันแบคทีเรียเข้าทำลายลำไส้ โดยเฉพาะโปรไบโอติกสายพันธุ์ที่ทนทานในลำไส้และมีประโยชน์อย่างแท้จริง

3. การเตรียมบ่อ เตรียมน้ำอย่างดี และปล่อยกุ้งในปริมาณที่เหมาะสม จะเป็นการลดปัญหาโรคขี้ขาวอย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาบ่อไหนเตรียมบ่อดี ปัญหาขี้ขาวน้อยกว่าบ่อที่เร่งลงกุ้งโดยไม่ยอมปรับปรุงสภาพพื้นบ่อและเตรียมน้ำให้ดี

4.การพยายามควบคุมอย่าให้มีแพลงก์ตอนพิษ เช่นในเขตเลี้ยงความเค็มต่ำหรือน้ำจืดควรระวังกลุ่มสีเขียวแกมน้ำเงิน เช่น สาหร่ายขนแมว สาหร่ายเม็ด เพราะแพลงก์ตอนพิษนี้สามารถสร้างสารที่อาจทำให้ลำไส้กุ้งระคายเคืองหรืออักเสบได้ และทำให้พีเอชของน้ำสูงกว่าปกติทำให้กุ้งเกิดความเครียด ดังนั้นมีจำนวนมากที่บ่อมีปัญหาสาหร่ายขนแมวแล้วขี้ขาวจะตามมา หรือในเขตน้ำเค็มความเค็มสูงให้ระวังแพลงก์ตอนเรืองแสง(Dinoflagellate) ซึ่งสร้างสารพิษทำให้ลำไส้กุ้งอักเสบเป็นขี้ขาวได้เช่นกัน

5. ควรมองประเด็นขี้ขาวไปที่พยาธิภายในด้วยเช่นกัน เพราะบ่อยครั้งเกษตรกรเคยกินสารแก้ปัญหาขี้ขาวที่เกิดจากแบคทีเรีย บางครั้งหายแต่บางครั้งไม่ได้ผล หรือปัจจุบันการรักษายิ่งยากลำบากขึ้น ซึ่งน่าจะมีการดื้อยา หรือมีพยาธิทำลายในลำไส้ เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นประเด็นขี้ขาวจะมีความรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิมในแทบทุกพื้นที่ และสัมพันธ์กันไปหมด หากบ่อไหนเป็นในพื้นที่ใกล้เคียงกันก็จะเป็นเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่น่ากลัวเท่าไวรัส ตัวแดงดวงขาวหรือ โรคหัวเหลือง แต่ก็ทำให้เราสิ้นเปลืองมากเพราะมันจะเป็นเรื้อรัง ดังนั้นหากได้ตรวจผลแน่ชัดว่าขี้ขาวที่เกิดในบ่อเรานั้นเกิดจากพยาธิ แต่กินอาหารไม่ลดมากควรกินสารกำจัดพยาธิในลำไส้ เช่นกระเทียม

6. หากเป็นขี้ขาวรุนแรงเราควรมองประเด็นแบคทีเรีย หรือการร่วมกันระหว่างแบคทีเรียและพยาธิในลำไส้ ดังนั้นควรกินสารที่ใช้ในลำไส้ได้จริง ๆ และมีสารที่มีประสิทธิภาพในการสมานแผลและเคลือบลำไส้ ที่สำคัญทุกครั้ง ที่เราแก้ปัญหาขี้ขาวในลำไส้ในตัวกุ้งจำเป็นต้องจัดการเชื้อในน้ำทุกครั้ง โดยการใช้ไอโอดีนหรือสารเคมีที่กำจัดเชื้อแบคทีเรียได้เพราะไม่ว่าเราจะจัดการในตัวได้ดีเพียงไรแต่ในน้ำไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาขี้ขาวก็จะกลับมา เหมือนเดิม

ดังนั้นรักษาในตัวกุ้งโดยการกินสารกำจัดเชื้อแล้วยังต้องควบคู่กับการรักษาในน้ำโดยใช้ยาฆ่าเชื้อเสมอ

เพื่อประสิทธิภาพในการักษาและป้องกันปัญหาย้อนกลับมาอีก


ขอบคุณ ข้อมูลจากคุณ เอกอนันต์ ยุวเบญจพล


โรคขี้ขาวในกุ้งขาวแวนนาไม


โดยทั่วไปพบกุ้งป่วยเป็นโรคขี้ขาวในบ่อทีปล่อยกุ้งค่อนข้างหนาแน่น น้ำขุ่น หนืด เป็นบ่อระบบปิดหรือกึ่งปิด ไม่มีการถ่ายเทน้ำ หรือบำบัดคุณภาพ น้ำที่ดีพอ
จากการตรวจสอบ พบว่าสาเหตุหลักของการเกิดโรคขี้ขาว มาจากการ อักเสบของลำไส้ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การดูดซึมอาหารในลำไส้ไม่ดี กุ้งผอม โตช้าและทยอยตายเนื่องจากอ่อนแอ ติดเชื้อฉวยโอกาส และกุ้ง บางส่วนทยอยตายระหว่างการลอกคราบเนื่องจากกุ้งอ่อนแอจากการที่ไม่ได้ รับสารอาหารเนื่องจากการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร โดยมีสาเหตุ ร่วมกับหลายๆ สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น

อาการของโรค

1. พบลักษณะขี้ขาวในลำใส้กุ้ง หรืออาหารไม่เต็มลำไส้
2. พบขี้ขาวลอยอยู่ผิวน้ำจำนวนมาก
3. กุ้งกินอาหารลดลง
 4. กุ้งเปลือกบาง กรอบแกรบ
5. กุ้งโตช้า และแตกไซส์
6. กุ้งทยอยตาย
สาเหตุการเกิดโรคขี้ขาวที่สำ คัญได้ดังนี้คือ
 1. ติดเชื้อ กรีการีน
2. ติดเชื้อ EHP (Enterocytozoon hepatopenaei)
 3. เกิดจากการสะสมของเสียในบ่อเลี้ยง
 4. การติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อวิบริโอ
 5. อาหารที่ใช้เลี้ยงมีคุณภาพต่ำหรือเสื่อมคุณภาพ เช่น มีความชื้นสูง มีการปนเปื้อนของเชื้อรา
 6. สายพันธุ์กุ้งไม่ดี เลือดชิด ทำให้กุ้งอ่อนแอติดเชื้อ ได้ง่าย
7. สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันสูง และ อุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงมาก หรือฝนตกทำให้ความชื้น สูงในอากาศเกิด เชื้อราปนเปื้อนในอาหารและภาชนะ เป็นผลให้กุ้งเครียดอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันลดลงและเชื้อ แบคทีเรียเจริญได้ง่ายขึ้น
8. การเสียสมดุลจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารของกุ้ง จากการใช้ยาปฏิชีวนะ
การป้องกัน
1. การเตรียมบ่อที่ดี กรองน้ำหรือฆ่าเชื้อในน้ำ ถ้าจำเป็นกรณีมีการระบาดของโรคบำบัดคุณภาพดิน และน้ำก่อนการปล่อยกุ้ง เช่น การลอกเลน กรณีที่มี ปริมาณเลนหรือของเสียในบ่อมาก การบำบัดโดยใช้ จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น จุลินทรีย์ ปม.1
2. กำจัดหอยที่อาจเป็นพาหะตัวกลางของเชื้อ (intermediate host) กรีการีน
3. เลือกซื้อลูกกุ้งจากแหล่งที่เชื่อถือได้ กุ้งมีการพัฒนา สายพันธุ์ที่ดี ตรวจสอบสุขภาพลูกกุ้งก่อนการเลี้ยง เช่น ความแข็งแรงของลูกกุ้ง การติดเชื้อไวรัส การติดเชื้อแบคทีเรีย EMS การติดเชื้อกรีการีน และ EHP
4. เลือกใช้อาหารที่มีคุณภาพ ทั้งอาหารเม็ดสำเร็จรูป กรณีจำเป็นต้องใช้อาหารสด เช่นเพรียงทราย และ อาร์ทีเมียตัวโต ต้องตรวจสอบการปนเปื้อนเชื้อโรคในกุ้ง เช่น WSSV, IHHNV, TSV, YHV, เชื้อ EMS/AHPND และ EHP
5. โรงเรือนเก็บอาหารเม็ดสำเร็จรูปต้องสามารถป้องกันฝน และความชื้นได้ดี รวมถึงภาชนะที่ใช้ใส่อาหาร ที่ต้องแห้ง ไม่ว่าจะเป็นถังผสมอาหาร ถังเครื่องให้อาหารอัตโนมัติ
6. ตรวจสอบคุณภาพอาหาร ก่อนใช้ทุกครั้ง อาหารไม่จับ เป็นก้อน สีของอาหารไม่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีกลิ่นหืน มีราขึ้น หรือได้กลิ่นของเชื้อรา ไม่ควรนำมาเลี้ยงกุ้ง เพราะจะทำให้กุ้ง ทำให้ภูมิคุ้มกันของกุ้งลดลง
7. ตรวจสอบและปรับปรุงคุณภาพน้ำให้เหมาะสมอย่าง สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงก่อนการลอกคราบพร้อมกัน จำนวนมากของกุ้ง เช่น ช่วงก่อน 8 และ 15 ค่ำ
 8. สุ่มตรวจสุขภาพลูกกุ้งสม่ำเสมอ โดยสามารถตรวจ ด้วยตนเอง ดูได้จากความสมบูรณ์ของรยางค์ ลำตัวและสี และลำไส้ หรือส่งตรวจ ณ ห้องปฏิบัติการที่ให้บริการ หรือศูนย์ฯ หรือสถานีของกรมประมงในพื้นที่
9. ใส่จุลินทรีย์เพื่อบำบัดคุณภาพน้ำและดินตลอด ช่วงระยะเวลาของการเลี้ยง อย่างสม่ำเสมอ
10. ให้อาหารผสมโปรไบโอติก เป็นประจำตั้งแต่ ก่อนกุ้งอายุ 1 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันของกุ้ง และ ลดการติดเชื้อก่อโรคในกุ้งโดยเฉพาะในลำไส้ของกุ้ง เช่น การใช้น้ำหมักผลไม้สุก เช่น น้ำหมักสับปะรด เป็นประจำ สม่ำเสมอ (ทุกวันยิ่งให้ผลดี)
11. เลี้ยงปลาในระบบบ่อพักน้ำ บ่อตกตะกอน และ บ่อบำบัดเพื่อให้ปลาเป็นตัวช่วยคัดสรรและผลิต จุลินทรีย์ที่สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารกุ้ง ขี้กุ้ง ได้ดี โดยจุลินทรีย์จะถูกขับมาพร้อมขี้ปลาสู่น้ำและ ดินภายในบ่อ โดยจุลินทรีย์ที่ได้จะช่วยย่อยสลาย สารอินทรีย์ ช่วยควบคุมเชื้อก่อโรค ทั้ง EMS และ ขี้ขาว

การรักษา


1. เมื่อกุ้งแสดงอาการของโรคขี้ขาว การรักษาส่วน ใหญ่ไม่ได้ผล 100 %
 2. การเปลี่ยนเบอร์หรือยี่ห้อของอาหารเม็ดสำเร็จรูป ทำให้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคขี้ขาวไม่สามารถจะใช้ ประโยชน์จากสารอาหารในอาหารชนิดใหม่ได้ ทำให้ ขาดอาหารและลดจำนวนลง อาการขี้ขาวลดลง แต่ถ้า ไม่มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำ ดิน อาหาร สารอินทรีย์ใน บ่อให้ดีขึ้น อาการขี้ขาวก็จะกลับมา (ปัจจุบันวัตถุดิบ ในการผลิตอาหารเม็ดมีความใกล้เคียงกันทำให้การ ปรับเปลี่ยนเบอร์และยี่ห้ออาหารอาจไม่ได้ผลดี เท่าที่ควร)
3. ปัจจุบันการใช้ยาปฎิชีวนะไม่ให้ผลการรักษาที่ดี ไม่ สามารถรักษาโรคขี้ขาวได้และเสี่ยงต่อการตกค้างของ ยาในกุ้ง และเชื้อดื้อยา
 4. ปรับปรุงคุณภาพน้ำ โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำ เพิ่ม การให้อากาศ พร้อมทั้งเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่มี ประสิทธิภาพในการบำบัดคุณภาพน้ำโดยให้อย่าง ต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาของการเลี้ยง
5. ควบคุมปริมาณการให้อาหาร ให้เหมาะสม
6. ผสมจุลินทรีย์ เช่น ปม.1 หรือน้ำหมักผลไม้สุกให้กิน ทุกมื้อ เช่นน้ำหมักสับปะรด
7. การใช้สมุนไพรที่ให้ผลในการลดการติดเชื้อ การอักเสบของลำไส้ เช่น กล้วย กระเทียม บดผสมอาหาร ให้กุ้งกิน
8. กรณีตรวจพบว่ากุ้งติดเชื้อกรีการีน ให้ผสมกระเทียม 5-10 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม กินติดต่อกันเป็นระยะ เวลา 3-4 สัปดาห์ ได้ผลดีในกุ้งเล็กอายุไม่เกิน 1 เดือน ในกุ้งใหญ่การรักษาไม่ได้ผลดี
9. กุ้งที่แสดงลักษณะขี้ขาว เป็นลักษณะของการอักเสบ ของลำไส้ที่เกิดจากการติดเชื้อแบบเรื้อรัง การรักษา ในช่วงแรกของระยะติดเชื้อจะได้ผลดี จึงควรสุ่มตรวจกุ้ง ในบ่อก่อนกุ้งระยะ 1 เดือน หรือก่อนลงกุ้ง การรักษา ในกุ้งใหญ่มักไม่ได้ผล อาจลดความรุนแรงของโรค แต่ไม่หายขาด กุ้งยังคงแสดงลักษณะโตช้า และขี้ขาว อัตราการตายของกุ้งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติด เชื้อแบคทีเรีย อาจร่วมกับการติดเชื้อไวรัส เช่น WSSV หรือ YHV และแบคทีเรียก่อโรค EMS

*** หากท่านไม่มีเวลาในการดูแลรักษากุ้งได้เรามีทางเลือกให้ท่านโดยการใช้ ***
***ฟาร์มโอเค ไคโตซาน นาโนเทค นวัตกรรมใหม่ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย***





ฟาม์okไคโตซานเลี้ยงกุ้ง


ฟาม์okไคโตซาน เป็นสารประกอบโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ เป็นสารอาหารที่นำมาใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อและเปลือกของกุ้ง เมื่อกุ้งได้รับฟาม์okไคโตซานเข้าไปแล้วจะย่อยฟาม์okไคโตซานเป็น กลูโคซามีน ซึ่งกลูโคซามีนนี้เองที่เป็นสารตั้งต้นของการสร้างเนี้อเยื่อและเปลือกของกุ้ง ส่งผลให้กุ้งลอกคราบได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นด้วยคุณสมบัติอีกประการของฟาม์okไคโตซานคือ. ฟาม์okไคโตซานเป็นสารที่ละลายในกรดแต่ไม่ละลายในด่างและมีลักษณะเหนียวข้น จึงสามารถที่จะนำมาเคลือบอาหารเม็ดได้ โดยที่ ฟาม์okไคโตซานเมื่อเคลือบอาหารและโปรยลงในบ่อเลี้ยงที่มีสภาพเป็นด่างแล้ว ไม่แตกตัวและละลายในน้ำง่าย จึงสามารถลดการสูญเสียอาหารจากการแตกตัวและละลายโดยที่กุ้งไม่ได้นำไปใช้..
!!ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ ฟาม์okไคโตซาน เคลือบอาหารกุ้ง!!
1. กุ้งมีสุขภาพแข็งแรง
2. ช่วยให้กุ้งลอกคราบได้ง่ายขึ้น
3. เพิ่มปริมาณไคตินให้กับเปลือกกุ้งโดยตรง
4. ควบคุมคุณภาพของน้ำในบ่อกุ้งได้ง่ายขึ้น
5. อัตราแลกเนื้อ (FCR) ต่ำลง
6. ลดค่าใช้จ่ายของยาและอาหารเสริมประเภทอื่น
7. ช่วยให้เม็ดอาหารกุ้งละลายในน้ำช้าลงทำให้สิ้นเปลืองอาหารน้อย
8. ลดปัญหาในการเลี้ยง
วิธีใช้= ฟาม์okไคโตซาน สารเสริมกุ้ง
1. ฟาม์okไคโตซาน ปริมาณ 10-20 cc.แล้วคลุกเคลือบกับอาหารกุ้ง น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เคลือบอาหารให้ทั่วทุกเม็ด
2. ผึ่งอาหารกุ้งที่เคลือบด้วย ฟาม์okไคโตซาน ให้แห้งประมาณ 20-40 นาที (จนฟีมส์เริ่มแห้ง) หลังจากนั้นจึงนำอาหารกุ้งไปเลี้ยงตามปกติ
3. สามารถให้ ฟาม์okไคโตซาน บำบัดน้ำในบ่อกุ้ง , ย่อยสลายของเสีย ,เคลือบอาหารกุ้ง พร้อมตีน้ำเพิ่มอ๊อกซิเจนในน้ำ กุ้งไม่เครียด ใช้เครื่องตีน้ำให้ถึง อย่าขาดเด็ดขาด
จุดเด่น...ของฟาม์okไคโตซานเลี้ยงกุ้ง

ฟาม์okไคโตซาน เป็นสารประกอบโพลีเมอร์ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือเป็นสารอาหารที่นำมาใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อและเปลือกของกุ้ง เมื่อกุ้งได้รับฟาม์okไคโตซานเข้าไปแล้วจะย่อยฟาม์okไคโตซานเป็น กลูโคซามีน ซึ่ง กลูโคซามีนนี้เอง ที่เป็นสารตั้งต้นของการสร้างเนื้อเยื่อและเปลือกของกุ้ง ส่งผลให้กุ้งลอกคราบได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นด้วยคุณสมบัติอีกประการของฟาม์okไคโตซานคือ. ฟาม์okไคโตซาน เป็นสารที่ละลายได้ในกรดแต่ไม่ละลายในด่างและมีลักษณะเหนียวข้นจึงสามารถที่จะนำมาเคลือบอาหารเม็ดได้โดยที่ ฟาม์okไคโตซาน เมื่อเคลือบเม็ดอาหารและโปรยลงในบ่อเลี้ยงกุ้งที่มีสภาพเป็นด่างแล้วไม่แตกตัวและละลายในน้ำง่ายจึงสามารถลดการสูญเสียอาหารจากการแตกตัวและละลายโดยที่กุ้งไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์

จะทราบได้อย่างไรว่า. ฟาม์okไคโตซานที่ใช้อยู่มีคุณภาพดีหรือไม่
ฟาม์okไคโตซาน ที่มีคุณภาพดีนั้น เมื่อเปิดขวดจะไม่มีลมดันออกมา ถ้าพบว่ามีลมดันออกมาก็แสดงว่าอาจเกิดการหมักของเชื้อที่ปลอมปนและเกิดการเน่าเสียได้สารละลายฟาม์okไคโตซาน ที่ดีจะต้องมีลักษณะใส ไม่มีตะกอนขุ่นหรือมีสารแขวนลอย มีความเหนียวหนืดไม่มากจนเกินไป นอกจากนั้นผู้เลี้ยงกุ้งยังสามารถที่จะทดสอบได้ว่า. ฟาม์okไคโตซาน ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น เป็นแหล่งที่มีวัตถุดิบที่ดีที่สุดในโลก (ฟาม์okไคโตซานแตกต่างในการผลิต) สายพันธุ์สั้น นาโนเทค ชีวภาพเข็มข้น สะอาดปลอดสารเคมี ประหยัด ...โดยการผสมเอ๋ฟาม์okไคโตซานกับน้ำโพลาลิสแล้วดื่มได้อย่างปลอดภัยค่ะ...


ตัวอย่างบ่อกุ้งที่มีปัญหากุ้งเป็นโรคขี้ขาว


 บ่อกุ้งคุณ สุวรรณ ด้วงประเสริฐ์  ใช้ฟาร์มok แก้ขี้ขาวหาย

คุณสุวรรณมีบ่อกุ้งที่ ต.บางพระ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ประสบปัญหากุ้งเป็นโรคขี้ขาวแก้ยังไงก็ไม่หาย ขาดทุนจากการเลี้ยงกุ้งบ่อย แต่เมือทดลองใช้ฟาร์มโอเคปรับสภาพน้ำในบ่อ โดยใช้อัตราส่วน ฟาร์มโอเค 1 แกลลอน ต่อน้ำ 1 ไร่บ่อลึก 1 เมตร และใช้ฟาร์มโอเค คลุกกับอาหารกุ้งอัตราส่วน 20 ซีซีต่ออาหาร 1 กิโลกรัมนำไปผึ่งแดด 1 วันจากนั้นนำไปให้กุ้งกิน ผ่านไป 3 วันอาการขี้ขาวกุ้งหาย และกุ้งแข็งแรงขึ้น กินอาหารได้มากขึ้น 
 เมื่อวันที่ 4 เมษายน คุณสุวรรณได้จับกุ้งขายเป็นที่เรียบร้อยดังรูปด้านล่่างนี้










สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
นลินรัตน์ 086 9165697 ไอดีไลน์ :nalinrat.ta
Facebook :นลินรัตน์ กองแก้ว





วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ต้นหนานเฉาเหว่ย (เฟยหนานซู่) รักษาโรคได้มากมาย

ต้นหนานเฉาเหว่ย (เฟยหนานซู่)


ไม้ต้นนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว นิยมปลูกเฉพาะตามสวนสมุนไพรจีนและสวนสมุนไพรไทยเพื่อใช้ประโยชน์เป็นยา โดยใบสดของ หนานเฉาเหว่ยมีรสขมจัด เมื่อเคี้ยวกินสดตอนแรกจะขมในปากมาก แต่พอกินไปได้สักพักจะรู้สึกว่ามีรสหวานในปากและลำคอ ซึ่งใบสดดังกล่าวตำรายาจีนระบุว่า สามารถช่วยลดเบาหวาน แก้อาการของโรคเกาต์และลดความดันโลหิตสูงได้ มีวิธีกินแบบง่ายๆคือ เอาใบสด 5-7 ใบ ต้มกับน้ำจนเดือด แล้วดื่มครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเช้าเย็น จะสังเกตได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ อาการที่เป็นจะดีขึ้น จากนั้นต้มดื่มบ้างหยุดบ้าง เพื่อควบคุมอาการ ส่วน ใครที่มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือปวดตามข้อเพราะทำงานหนักต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่ปวดที่เกิดจากกระดูกเสื่อม ให้เอาใบสดของ หนานเฉาเหว่ย” 1-2 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วเคี้ยวกินได้เลย วันละครั้ง ประมาณ 1 อาทิตย์ อาการปวดเมื่อยจะดีขึ้น จากนั้นเคี้ยวกินบ้างหยุดบ้างเพื่อควบคุมอาการเช่นเดียวกัน หนานเฉาเหว่ย เป็นไม้ยืนต้น สูง 6-8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายแหลม โคนป้านหรือเกือบมน ใบอ่อนและใบแก่มีรสขมจัดตามที่กล่าวข้างต้น ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกเป็นสีขาว ผลทรงกลม มีเมล็ด

  ที่ แอฟริกา ใช้กินเป็นผักและใช้รักษาโรคมาเลเรีย, ที่อเมริกาก็ขายเป็นยาเพิ่มภูมิคุ้มกัน เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม เบาหวาน และต่อมลูกหมาก รวมทั้งควบคุมน้ำตาล ที่พม่าและมาเลเซียก็รู้จักผม แต่ผมดังจากเมืองจีนก่อนจะมาดังในเมืองไทยไม่นาน แม้ว่าก่อนหน้านี้มีแต่พ่อหมอไทใหญ่เขาใช้แก้โหลง คือ ยาแก้พิษ สำหรับชาวกะเหรี่ยงจะใช้เป็นยาแก้หวัด และเรียกยาแก้ขม ทั้งๆ ที่ใบขมมากๆ ส่วนตำหรับยาล้านนาใช้รักษาโรคเรื้อรังที่เรียกว่า โรคสาน คือโรคที่มีก้อนเนื้อผิดปกติรวมทั้งฝีต่างๆ และโรคขาง คือแผลเปื่อยเรื้อรังตามอวัยวะต่างๆ
สรรพคุณ
สรรพคุณทางยาของหนานเฉาเหว่ย ตามตำรายาจีน  กล่าวว่า สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดเบาหวาน และ ช่วยเรื่องโรคเกาต์สำหรับท่านใดที่ต้องการกินหนานเฉาเหว่ยเป็นประจำทุกวัน ให้กินแค่ช่วงสัปดาห์แรกเท่านั้นที่อาจจะกินทุกวัน หลังจากนั้นค่อย ๆ ลดการกินหนานเฉาเหว่ยลงทีละน้อย หรือ กินแบบหลายวันครั้งก็ได้ เพื่อควบคุมอาการของโรค เพราะถ้าหากกินมากไปจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดมาก จนส่งผลเสียต่อสุขภาพแทน
วิธีขยายพันธุ์
สามารถนำกิ่งมาปักชำได้ เติบโตเร็ว ตอนปักชำกิ่งทำในที่ร่มจนกว่าจะมีใบขึ้นเป็นสีเขียวเข้มจึงนำไปลงดินหรือกระถางกลางแดด
มีกิ่งพันธุ์ขาย
ชุดละ 100 บาท มี 4 ต้น แถมฟรี หัวเชื้อไคโตซาน ขนาดทดลอง นำเข้าจากญี่ปุ่น สามารถนำไปผสมน้ำได้ 300 ลิตร
     

สนใจติดต่อ นลินรัตน์ 086-9165697 
ไอดีไลน์ nalinrat.ta


วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

โรคตับ อันตรายที่น่ากลัว

          หน้าที่ของตับ





  1. ตับเป็นที่สร้างอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่นสร้องอันบูมิน และสร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
  2. เป็นแหล่งสะสมของอาหารต่างๆเก็บเอาไว้ใช้ตอนร่างกายแข็งแรง  เปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นไกลโคเจน เพื่อเสริมการทำงานส่วนต่างๆ
  3. ตับสร้างเกลือน้ำดี และน้ำดี ทำหน้าที่ละลายไขมัน และน้ำดีช่วยย่อยอาหารและขับออกมาทางน้ำดีส่งต่อมาที่ลำไส้เล็ก
  4. ตับเป็นศูนย์รีไซเคิล นำอาหารที่สะสมไว้มาเปลี่ยนเป็นพลังงานดึงโปรตีนเก่ามาหมุนเวียนกลับมาใช้
  5. ตับขับถ่ายของเสียและสารพิษต่างๆ ตับกรองสารอาหารที่ดีเก็บไว้ในร่างกาย และขับของเสียสารพิษออกทางท่อปัสสาวะ หรือปนมากับท่อน้ำดี  สารพิษบางตัวที่ขับออกมาไม่หมดอาจทำให้ตับอักเสบได้
  6. เป็นเกราะกำบังชั้นดี ช่วยขับสารพิษ สร้างภูมิคุ้มกัน ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย




              สาเหตุที่ทำให้เกิด "โรคตับแข็ง"
โรคตับแข็งเกิดจากหลายสาเหตุ บางครั้งเป็นผลเนื่องจากโรคเกี่ยวกับตับอื่นๆ ก็เป็นได้
 แต่จากสถิติแล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งมักเกิดจาก การดื่มสุรา และเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  
งั้น เรามาลองดูกันว่า อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้

1. โรคตับแข็งที่เกิดจากการดื่มสุรา เหตุที่ทำให้เป็นโรคได้ ก็เนื่องมาจาก สุราทำให้การเปลี่ยน
สารอาหารบางประเภทเช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ผิดปกติไป ทั้งนี้ การดื่มในปริมาณที่มาก
จึงอาจเป็นเหตุของโรคได้ เช่น ผู้หญิงที่ดื่มสุราวันละ 2-3 แก้ว หรือผู้ชายที่ดื่มวันละ 4-6 แก้ว เป็นต้น

2. โรคตับแข็งที่เกิดจากคนเป็นโรคไวรัสตับอักเสบB หรือ D แบบเรื้อรัง พอนานเข้าก็กลายเป็น
โรคตับแข็ง

3. โรคตับแข็งที่เกิดจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อตับ

4. โรคตับแข็งเป็นกรรมพันธุ์ กรณีเช่นนี้คงป้องกันยากอยู่สักหน่อย

5. โรคตับแข็งที่เกิดในคนอ้วน คือ ร่างกายที่ผิดปกติจากโรคอ้วน หรือโรคเบาหวาน แล้วสร้างไขมัน
ในตับเพิ่ม จนกลายเป็นโรคตับแข็ง

6. โรคตับแข็งที่เกิดจากนิ่วอุดตันในถุงน้ำดี จนทำให้น้ำดีไม่สามารถเคลื่อนตัวได้

7. โรคตับแข็งที่เกิดจากการได้รับยาหรือสารพิษติดต่อกันนานๆ เพราะยาบางชนิดตับไม่สามารถ
กำจัดออกจากร่างกายได้ กลายเป็นค้างสะสมไว้
ตับอักเสบเรื้อรัง

คนไทยจำนวนมากเป็นโรคตับอักเสบมากขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้กลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคตับอักเสบเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุข
ทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสตับอักเสบบีมากถึง 780,000 รายต่อปี สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ
มากขึ้นโดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีที่มักมีการอักเสบของตับเรื้อรังผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
และปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอาจก่อให้เกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
ตับอักเสบเป็นภาวะที่เซลล์ตับถูกทำลาย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและโปรโตชัวหรือสาเหตุอื่น ได้แก่ พิษสุรา ยาบางชนิด สารเคมี การที่เซลล์ตับถูกทำลายส่งผลให้การทำหน้าที่ของตับบกพร่อง
 ร่างกายทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุของตับอักเสบที่พบบ่อย คือ การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ บี ซี 
ดี อีและจี ซึ่งแต่ละชนิดจะมีการติดต่อและแพร่เชื้อที่แตกต่างกัน เช่น ไวรัสตับอักเสบเอและอี สามารถแพร่เชื้อ
ทางอาหาร น้ำดื่ม ผักผลไม้ สัตว์น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงระบบสุขอนามัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น 
การขับถ่ายอุจจาระลงแหล่งน้ำลำคลอง ไวรัสตับอักเสบบี ซี ดีและจี พบเชื้อในเลือด น้ำเหลือง สารคัดหลั่ง 
น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำลาย น้ำตา น้ำนม ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อได้หลายทาง เช่น ทางเพศสัมพันธ์ 
ทางแม่สู่ลูก การสัก การเจาะหู เป็นต้น
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวต่อไปว่า โรคตับอักเสบที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอมักปรากฏ
อาการในเด็กโตและผู้ใหญ่มากกว่าในเด็กเล็ก ผู้ป่วยมักสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสในระยะยาว สามารถหายขาดจาก
โรคได้ ไม่เป็นพาหะเรื้อรัง ซึ่งปัจจุบันมีการให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอตั้งแต่ในเด็กแรกเกิด ไวรัสตับอักเสบบี เป็นไวรัสที่พบมากที่สุดทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในเด็ก ส่วนใหญ่หายได้เอง
และพบผู้ป่วยบางส่วนกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง เป็นพาหะของโรคในระยะยาวอาจมีภาวะตับแข็ง เป็นมะเร็งตับได้
 ไวรัสตับอักเสบซี โดยมากไม่พบการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าติดเชื้อดังกล่าว เพราะไวรัส
ชนิดนี้มักไม่แสดงอาการ ทำให้มีการอักเสบของตับเรื้อรัง นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ สำหรับอาการโรคตับ
อักเสบโดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีไข้ ร่วมกับการปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร 
บางรายอาจท้องเสีย ต่อมาจะเริ่มมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายมีอาการปวดท้องที่ตำแหน่งชายโครงด้านขวา ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด อาจมีอาการคัน ผื่นลมพิษร่วมด้วย
แนวทางป้องกันโรคตับอักเสบเบื้องต้น คือ รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่และครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผล
ไม้ที่มีคุณสมบัติบำรุงตับ เช่น กะหล่ำปลี แครอท ชาเชียว อะโวคาโด ลิ้นจี่ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆดิบๆอาหารไขมันสูง ดื่มน้ำสะอาดโดยการต้มให้เดือดเป็นเวลา 20 นาที ก่อนบริโภค ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยง
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ หากิจกรรมทำร่วมกับครอบครัวเพื่อให้ผ่อนคลายความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
 ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ 2 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบี สามารถให้
ได้ในผู้ที่ยังไม่เคยรับเชื้อมาก่อน โดยก่อนการให้วัคซีนจะต้องได้รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ เพื่อดูว่าเคยได้
รับเชื้อมาก่อนหรือมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ติดเชื้อหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน แพทย์จะให้วัคซีนเพื่อป้องกัน
โรคดังกล่าวต่อไป
มะเร็งตับ
มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากอะไร ?
1. ส่วนใหญ่ของการเกิด มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียง
กันว่า 80% ของผู้ป่วยโรค มะเร็งตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี 
มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็น มะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า (ข้อมูลจากหนังสือความรู้เรื่องโรคตับสำหรับ
ประชาชน)
2. มีข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรค มะเร็งตับ จะมีตับแข็งร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าท่านป่วย
เป็นพาหะตับอักเสบบี และมีตับแข็งแล้ว ความเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งตับ จะสูงมากๆ ทีเดียว
3. มะเร็งตับ ยังมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่า ผู้ที่ดื่มสุราแอลกอฮอล์เป็นประจำ
มีความเสี่ยงเป็น มะเร็งตับ สูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
4. สารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ก็เป็นสารก่อมะเร็ง
 ที่เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิด มะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาท๊อกซิน มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี
 โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาท๊อกซินเป็นตัวเสริม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพาหะไวรัส
ตับอักเสบบี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง ถั่วลิสง โดยเฉพาะถั่วลิสงป่นที่ค้างนานๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็น มะเร็งตับ ? 
สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็น มะเร็งตับ มีอัตราการอยู่รอดต่ำก็คือ มะเร็งตับในระยะแรกซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาด
ได้นั้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเคลือ เช่น เสียดท้องด้านขวา มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง 
แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้ ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วย
การทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือ มีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะ
รักษาได้แล้ว

อาการของผู้ป่วย มะเร็งตับ
ที่ชัดเจนก็คือ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัดก็คือ ปวดชายโครง
ด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง

การตรวจหา มะเร็งตับ ทำได้อย่างไร ?
  เนื่องจาก มะเร็งตับ เปรียบเหมือนมฤตยูเงียบ การเฝ้าระวังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการที่
จะเป็น มะเร็งตับ คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปและมีอาการตับแข็งร่วมด้วยควรจะ
ต้องตรวจร่างกายอย่างน้อยทุก 6 เดือน
การตรวจหา มะเร็งตับ ในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาระดับของสารอัลฟาฟิโตโปรตีน (Alfafeto-protein) ซึ่งเป็นสารที่มักพบ
ในผู้ป่วย มะเร็งตับ แต่การตรวจหาค่าอัลฟาฟิโตโปรตีนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 30% 
การตรวจจึงควรจะร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็ก ๆ ได้ ถ้าจะให้ละเอียดมากกว่านี้ก็คือ
 การตรวจโดยใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า C T Scan ซึ่งจะสามารถเห็นมะเร็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตรได้

มีวิธีรักษา มะเร็งตับ อย่างไรบ้าง ?
มะเร็งตับ ดูเป็นโรคที่มีความน่ากลัว เพราะผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะเมื่อตรวจพบมะเร็งก็มีขนาด
ใหญ่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบในระยะแรกๆ ก็มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้ เช่น
1. การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก โดยมีเงื่อนไขว่าก้อนมะเร็งนั้นมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร เป็นมะเร็งก้อนเดียว มีเปลือกห่อหุ้ม
 และอยู่ภายในตับกลีบเดียว วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
2. Transcatheter Oily Chemo-embolization หรือ TOCE ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกได้ เนื่องจาก
มีขนาดใหญ่เกินไป วิธีรักษาแบบ TOCE นี้มักจะกระทำโดยรังสีแพทย์ โดยการสอดสายขนาดเล็กเข้าไปทางเส้นเลือดแดงตับ
 เพื่อเข้าไปถึงก้อนมะเร็งโดยตรงเพื่อใส่ยาเคมีเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง พร้อมทั้งอุดเส้นเลือดหลักที่เข้าไปเลี้ยงก้อนมะเร็งด้วยในเวลา
เดียวกัน วิธีการรักษาแบบนี้ก็ได้ผลอยู่บ้างแต่ไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ โดยส่วนใหญ่มะเร็งจะกลับโตขึ้นมาได้อีก
 หรืออาจแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดหรือกระดูก ในทางการแพทย์การรักษาโดยวิธีนี้จึงเป็นการรักษาเพื่อยืดเวลา
 ในบางกรณีเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงและไม่กระจายไปที่อื่นอาจจะผ่าตัดเอา ก้อนมะเร็งออกเลยก็ได้
3. การใช้คลื่นเสียง RFA (Radiofrequency Ablation) เป็นการฉีดแอลกอฮอล์โดยตรงที่ก้อนมะเร็ง เป็นวิธีการทำลายก้อน
มะเร็งด้วยการใช้เข็มแบบพิเศษ (RF needle) ขนาดเท่ากับไส้ปากกาลูกลื่น ความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร แทงผ่านผิวหนัง
เข้าไปในก้อนมะเร็งเป้าหมาย โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากเครื่อง ทำให้เกิดคลื่นความถี่สูงประมาณ 375-500 KHz 
จะทำให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (Friction heat) ซึ่งจะแผ่กระจายออก
ไปรอบๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน จากการศึกษาพบว่าความร้อนที่มากกว่า 50 องศาเซลเซียส สามารถทำให้
เซลล์ตายได้ ก้อนมะเร็งที่ได้รับการรักษาจะเปรียบเสมือนเนื้อย่าง ซึ่งในต่างประเทศใช้วิธีการรักษามะเร็งตับ RFA
 นี้กันมานานประมาณ 12 ปีแล้ว ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้กันมา ประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้เอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาแบบประทังทั้งสิ้น
4. การเปลี่ยนตับ ปัจจุบันแพทย์ไทยก็สามารถปลูกถ่ายตับได้ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมักมีข้อจำกัดมากมาย 
ทำให้การเปลี่ยนถ่ายตับมักไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา
5. การฉายรังสี วิธีการนี้ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตับที่ดี มักมีผลเสียจากฉายรังสี

มะเร็งตับ ป้องกันได้…
1. แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี แก่เด็กทุกราย รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีการติดต่อของ
ไวรัสตับอักเสบ บี และซี
2. ลดสาร aflatoxin โดยการเน้นการเก็บอาหารให้แห้งเพื่อลดปริมาณ aflatoxin
3. โรคตับแข็ง โดยการลดการดื่มสุรา
4. ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาดิบ ก้อยปลา เพราะอาจจะทำให้เป็น โรคพยาธิใบไม้ตับหรืออาหารที่หมัก เช่น
 ปลาร้า ปลาเจ่า แหนม ฯลฯ เพราะมีสาร ไนโตรซามีน ซึ่งทำให้เป็นโรคมะเร็งตับได้ ควรรับประทานอาหารที่สะอาด
 และปรุงสุกใหม่ๆ
5. ไม่รับประทานอาหารที่มีเชื้อรา ระมัดระวังอาหารที่ตากแห้ง รวมทั้งอาหารที่เตรียมแล้ว เก็บค้างคืน เพราะอาจมีเชื้อราปะปนอยู่
6. ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆ หรืออาหารที่ใส่ยากันบูด
7. ถ้ามีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์

ป้องกันการเกิดโรคตับได้ด่วยทานสาหร่ายสไปรูลิน่า




สารอาหารที่มีประโยชน์ในสาหร่าย สไปรูลิน่า
          กรดโฟลิค  บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง ลำไส้ผิดปกติ
          กรดไขมันจำเป็น GLA ทำให้ผิวนุ่ม ผมดำเงางาม รากผมแข็งแรง
          วิตามินบี12 ช่วยการทำงานของระบบประสาท
          วิตามินอี  ช่วยลดความชรา ริ้วรอย
          ธาตุเหล็ก รักษาโรคโลหิตจาง
          สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ B1 B16 กรดอะมิโน อื่นๆ
          เบต้าแคโรทีน เพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันมะเร็ง บำรุงสายตา
          คลอโรฟิลล์ บำรุงผิว ล้างสารพิษ ลดอาการท้องผูกและโรคกระเพาะอาหาร  ฟื้นฟูตับ
          ไฟโตไซยานิน สีเขียวแกมน้ำเงิน ดูแลตับ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการแพร่เชื้อมะเร็ง


               ส่วนประกอบสำคัญ 1 เม็ด สาหร่ายสไปรูลิน่า 200มก.(100%)
            วิธีรับประทาน
      เพื่อป้องกัน  ครั้งละ 5เม็ด   (3มื้อก่อนอาหาร)
      เพื่อบำบัด    ครั้งละ 10เม็ด (3มื้อก่อนอาหาร)
      เพื่อลดน้ำหนัก  ครั้งละ 15เม็ด(3มื้อก่อนอาหาร)
      ขนาดบรรจุ 200 เม็ด(40 กรัม)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 
คุณ นลินรัตน์  086-9165697  064-2499483
ไลน์


วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

ล้างสารพิษง่ายๆด้วยตัวเอง

ถึงเวลาล้างสารพิษออกจากตัวเราแล้ว




ทุกวันนี้เราต้องเผชิญกับสารพิษมากมาย โดยที่เราสัมผัสกับสารพิษทั้งทางตรงและทางอ้อม และเมื่อเรารับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเรื่อยๆ ก็เกิดสารพิษสะสมจนทำให้เราป่วยเป็นโรคต่างๆขึ้นมาได้
หากท่านใดไม่เคยล้างสารพิษออกจากร่างกายเลย วันนี้ดิฉันก็จะเสนอวิธีง่ายในการล้างสารพิษนั่นก็คือการรับประทานพืชที่สามารถชำระล้างสารพิษในตัวเรานั่นเอง ซื่งพืชหลายชนิดที่ช่วยล้างพิษให้เราได้ เช่น พืช ผัก 5 สี  บางคนเครียดอีกว่าเราจะทานให้ได้ผลมันต้องใช้้จำนวนเท่าใด และผักที่เราทานเข้าไปปลอดสารพิษหรือเปล่า เผลอๆ แทนที่จะล้างพิษกลับเป็นการเพิ่มพิษขึ้นมาอีก เฮ้อ! แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ
วันนี้ขอนำเสนอการล้างสารพิษแบบครบวงจรง่ายด้วย

นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการดูแลสุขภาพ
 ผลไม้ตระกูลสูงมิกซ์เบอร์รี่ 10 ชนิด
       บิลเบอร์รี่, แบล็คเคอร์เรนท์, แครนเบอร์รี,    บูลเบอร์รี่, อัลเดอร์เบอร์รี่, เชอร์รี่,โกจิเบอรรี่, แบล็คเบอร์รี่, 
ราสเบอร์รี่ อาไชอิเบอร์รี่
ü สารสกัดจากกะหล่ำปลี
ü สารสกัดจากรากแดนดิเลี่ยน
ü ไซเลี่ยม ฮักส์
ü ฟรุคโต-โอลิโกแซคคาไรค์
ü สารสกัดจากส้มแขก
ü สารสกัดอัลฟัลฟา
ü วิตตามิน และแกลือแร่
ด้วยหลักการสูตรเฉพาะ 9 + 5 + 4
  DETOX 9 ระบบอวัยวะหลัก
คือ หัวใจ ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ เลือด หลอดเลือด
สุขภาพดี 5 ด้านด้วยผลไม้ 5 สี ไฟโตนิวเทรียนท์
สีเหลือง/ส้ม = บำรุง 
สีแดง = แรงฤทธิ์
               สีขาว/เทา= รักษาสมดุล
              สีม่วง/ดำ = ต้านความเสื่อม
               สีเขียว = สายตา
     ผิวสวย 4 ประการ

   -ผิวเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย          - ผิวกระชับ เต่งตึง
  -ผิวขาว กระจ่างใส                   -ผิวดูอ่อนกว่าวัย
9 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจากสูตร 9+5+4
  1.ล้างสารพิษระบบอวัยวะหลักภายในร่างกาย
  2.ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
  3.ป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้
  4.ป้องกันโรคหลอดเลือด และโรคหัวใจ
  5.ส่งเสริมการสร้างภูมิต้านทานโรค
  6.ช่วยปรับสมดุลระบบภายในร่างกาย เช่น ระบบฮอร์โมนเพศ
  7.ส่งเสริมการทำงานของระบบสายตา เช่น ถนอมดวงตา กล้ามเนื้อตา เลนส์ตา
  8.ส่งเสริมระบบการฟื้นฟูผิวเรียบเนียนขาวกระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัย
  9.ส่งเสริมการควบคุมน้ำหนัก และการลดน้ำหนัก
 แม้คุณจะมีปัญหาและพฤติกรรมเหล่านี้
ü ท้องผูกเป็นประจำ
ü สูบบุหรี่ และดื่มสุราเป็นประจำ
ü เหนื่อย,อ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ
ü กินน้อยแต่น้ำหนักตัวมากเกินไป
ü มีปัญหาตับไม่แข็งแรง
ü มีปัญหาผิวพรรณ ตกกระ ไม่สดใส
ü ต้องรับประทานยารักษาโรคอย่าต่อเนื่อง
ü พักผ่อนไม่เพียงพอ
ü ชอบรับประทานอาหาร ทอด ปิ้ง ย่าง

7 สัญญาณเตือน ที่บอกว่ามีสารพิษสะสมในร่างกายคุณมากเกินไป
เมื่อเราเริ่มตระหนักว่าสุขภาพที่ไม่ดีของเรานั้น มาจากการตัวเลือกที่ไม่ดีในการใช้ชีวิต ทำให้ร่างกายของเรามีสารพิษสะสม เราจึงควรที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนนิสัยของเราในแต่ละวันโดยการดีท็อกซ์ร่างกายเพื่อจำกัดสารพิษนั้นถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจตัวเลือกหนึ่ง
และนี้คือสัญญาณเตือนว่าเราถึงเวลาที่จะต้องกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของเราแล้ว
1. ปัญหาผิวหนัง
หากคุณประสบปัญหาผิวแห้ง เป็นสิว หรือ ผื่นที่บริเวณผิวหนัง เป็นสัญญาณบอกว่าภายในร่างกายของคุณนั้นมีสารพิษตกค้างอยู่
2. แพ้อาหาร
อาการแพ้อาหารบางชนิดเกิดจากการที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของเราเต็มไปด้วยสารพิษ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เรารับประทานอาหารขยะทำให้มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลที่มากเกินไปจนกลายเป็นพิษซึ่งส่งผลให้อาการภูมิแพ้ปรากฎขึ้น
3. ท้องผูก
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการท้องผูกคือการที่ใยอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ลำไส้ไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้นั้นทำให้ลำไส้เป็นพิษ
4. อาหารไม่ย่อย
หนึ่งในสัญญาณที่บอกว่าสุขภาพของลำไส้ของเรานั้นอ่อนแอ เกิดก๊าซในกระเพาะเราจึงรู้สึกท้องอืด ทั้งนี้แบคทีเรียในลำไส้ของเรามีความไวต่อสารพิษเป็นอย่างมาก เมื่อเราได้รับสารพิษ เราจึงรู้สึกไม่สบายท้องและเกิดอาการอาหารไม่ย่อย
5. อาการปวดศีรษะ
อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าร่างกายของเราต้องการการดีท็อกซ์นั้นคืออาการปวดศีรษะและไมเกรน
6. ปัญหาการนอนไม่หลับ
การนอนหลับสนิทเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ในขณะที่เรานอนหลับนั้นร่างกายของเราจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและกำจัดสารพิษ ซึ่งการนอนไม่หลับนั้นเป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณต้องการการกำจัดสารพิษตกค้าง
7. อารมณ์แปรปรวน
ปริมาณของสารพิษที่เราได้รับจากสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่อาหารนั้น ในที่สุดก็จะเข้าสู่สมองของเราซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า หรืออารมณ์โกรธ


สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คุณ นลินรัตน์ 064-2499483  086-9165697
ไลน์