วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

โรคตับ อันตรายที่น่ากลัว

          หน้าที่ของตับ





  1. ตับเป็นที่สร้างอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่นสร้องอันบูมิน และสร้างโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
  2. เป็นแหล่งสะสมของอาหารต่างๆเก็บเอาไว้ใช้ตอนร่างกายแข็งแรง  เปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นไกลโคเจน เพื่อเสริมการทำงานส่วนต่างๆ
  3. ตับสร้างเกลือน้ำดี และน้ำดี ทำหน้าที่ละลายไขมัน และน้ำดีช่วยย่อยอาหารและขับออกมาทางน้ำดีส่งต่อมาที่ลำไส้เล็ก
  4. ตับเป็นศูนย์รีไซเคิล นำอาหารที่สะสมไว้มาเปลี่ยนเป็นพลังงานดึงโปรตีนเก่ามาหมุนเวียนกลับมาใช้
  5. ตับขับถ่ายของเสียและสารพิษต่างๆ ตับกรองสารอาหารที่ดีเก็บไว้ในร่างกาย และขับของเสียสารพิษออกทางท่อปัสสาวะ หรือปนมากับท่อน้ำดี  สารพิษบางตัวที่ขับออกมาไม่หมดอาจทำให้ตับอักเสบได้
  6. เป็นเกราะกำบังชั้นดี ช่วยขับสารพิษ สร้างภูมิคุ้มกัน ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย




              สาเหตุที่ทำให้เกิด "โรคตับแข็ง"
โรคตับแข็งเกิดจากหลายสาเหตุ บางครั้งเป็นผลเนื่องจากโรคเกี่ยวกับตับอื่นๆ ก็เป็นได้
 แต่จากสถิติแล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งมักเกิดจาก การดื่มสุรา และเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  
งั้น เรามาลองดูกันว่า อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้

1. โรคตับแข็งที่เกิดจากการดื่มสุรา เหตุที่ทำให้เป็นโรคได้ ก็เนื่องมาจาก สุราทำให้การเปลี่ยน
สารอาหารบางประเภทเช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ผิดปกติไป ทั้งนี้ การดื่มในปริมาณที่มาก
จึงอาจเป็นเหตุของโรคได้ เช่น ผู้หญิงที่ดื่มสุราวันละ 2-3 แก้ว หรือผู้ชายที่ดื่มวันละ 4-6 แก้ว เป็นต้น

2. โรคตับแข็งที่เกิดจากคนเป็นโรคไวรัสตับอักเสบB หรือ D แบบเรื้อรัง พอนานเข้าก็กลายเป็น
โรคตับแข็ง

3. โรคตับแข็งที่เกิดจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อตับ

4. โรคตับแข็งเป็นกรรมพันธุ์ กรณีเช่นนี้คงป้องกันยากอยู่สักหน่อย

5. โรคตับแข็งที่เกิดในคนอ้วน คือ ร่างกายที่ผิดปกติจากโรคอ้วน หรือโรคเบาหวาน แล้วสร้างไขมัน
ในตับเพิ่ม จนกลายเป็นโรคตับแข็ง

6. โรคตับแข็งที่เกิดจากนิ่วอุดตันในถุงน้ำดี จนทำให้น้ำดีไม่สามารถเคลื่อนตัวได้

7. โรคตับแข็งที่เกิดจากการได้รับยาหรือสารพิษติดต่อกันนานๆ เพราะยาบางชนิดตับไม่สามารถ
กำจัดออกจากร่างกายได้ กลายเป็นค้างสะสมไว้
ตับอักเสบเรื้อรัง

คนไทยจำนวนมากเป็นโรคตับอักเสบมากขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้กลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคตับอักเสบเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุข
ทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสตับอักเสบบีมากถึง 780,000 รายต่อปี สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ
มากขึ้นโดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีที่มักมีการอักเสบของตับเรื้อรังผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
และปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอาจก่อให้เกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
ตับอักเสบเป็นภาวะที่เซลล์ตับถูกทำลาย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและโปรโตชัวหรือสาเหตุอื่น ได้แก่ พิษสุรา ยาบางชนิด สารเคมี การที่เซลล์ตับถูกทำลายส่งผลให้การทำหน้าที่ของตับบกพร่อง
 ร่างกายทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุของตับอักเสบที่พบบ่อย คือ การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ บี ซี 
ดี อีและจี ซึ่งแต่ละชนิดจะมีการติดต่อและแพร่เชื้อที่แตกต่างกัน เช่น ไวรัสตับอักเสบเอและอี สามารถแพร่เชื้อ
ทางอาหาร น้ำดื่ม ผักผลไม้ สัตว์น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงระบบสุขอนามัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น 
การขับถ่ายอุจจาระลงแหล่งน้ำลำคลอง ไวรัสตับอักเสบบี ซี ดีและจี พบเชื้อในเลือด น้ำเหลือง สารคัดหลั่ง 
น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำลาย น้ำตา น้ำนม ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อได้หลายทาง เช่น ทางเพศสัมพันธ์ 
ทางแม่สู่ลูก การสัก การเจาะหู เป็นต้น
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวต่อไปว่า โรคตับอักเสบที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอมักปรากฏ
อาการในเด็กโตและผู้ใหญ่มากกว่าในเด็กเล็ก ผู้ป่วยมักสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสในระยะยาว สามารถหายขาดจาก
โรคได้ ไม่เป็นพาหะเรื้อรัง ซึ่งปัจจุบันมีการให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอตั้งแต่ในเด็กแรกเกิด ไวรัสตับอักเสบบี เป็นไวรัสที่พบมากที่สุดทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในเด็ก ส่วนใหญ่หายได้เอง
และพบผู้ป่วยบางส่วนกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง เป็นพาหะของโรคในระยะยาวอาจมีภาวะตับแข็ง เป็นมะเร็งตับได้
 ไวรัสตับอักเสบซี โดยมากไม่พบการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าติดเชื้อดังกล่าว เพราะไวรัส
ชนิดนี้มักไม่แสดงอาการ ทำให้มีการอักเสบของตับเรื้อรัง นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ สำหรับอาการโรคตับ
อักเสบโดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีไข้ ร่วมกับการปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร 
บางรายอาจท้องเสีย ต่อมาจะเริ่มมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายมีอาการปวดท้องที่ตำแหน่งชายโครงด้านขวา ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด อาจมีอาการคัน ผื่นลมพิษร่วมด้วย
แนวทางป้องกันโรคตับอักเสบเบื้องต้น คือ รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่และครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผล
ไม้ที่มีคุณสมบัติบำรุงตับ เช่น กะหล่ำปลี แครอท ชาเชียว อะโวคาโด ลิ้นจี่ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆดิบๆอาหารไขมันสูง ดื่มน้ำสะอาดโดยการต้มให้เดือดเป็นเวลา 20 นาที ก่อนบริโภค ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยง
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ หากิจกรรมทำร่วมกับครอบครัวเพื่อให้ผ่อนคลายความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
 ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ 2 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบี สามารถให้
ได้ในผู้ที่ยังไม่เคยรับเชื้อมาก่อน โดยก่อนการให้วัคซีนจะต้องได้รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ เพื่อดูว่าเคยได้
รับเชื้อมาก่อนหรือมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ติดเชื้อหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน แพทย์จะให้วัคซีนเพื่อป้องกัน
โรคดังกล่าวต่อไป
มะเร็งตับ
มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากอะไร ?
1. ส่วนใหญ่ของการเกิด มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียง
กันว่า 80% ของผู้ป่วยโรค มะเร็งตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี 
มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็น มะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า (ข้อมูลจากหนังสือความรู้เรื่องโรคตับสำหรับ
ประชาชน)
2. มีข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรค มะเร็งตับ จะมีตับแข็งร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าท่านป่วย
เป็นพาหะตับอักเสบบี และมีตับแข็งแล้ว ความเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งตับ จะสูงมากๆ ทีเดียว
3. มะเร็งตับ ยังมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่า ผู้ที่ดื่มสุราแอลกอฮอล์เป็นประจำ
มีความเสี่ยงเป็น มะเร็งตับ สูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
4. สารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ก็เป็นสารก่อมะเร็ง
 ที่เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิด มะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาท๊อกซิน มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี
 โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาท๊อกซินเป็นตัวเสริม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพาหะไวรัส
ตับอักเสบบี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง ถั่วลิสง โดยเฉพาะถั่วลิสงป่นที่ค้างนานๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็น มะเร็งตับ ? 
สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็น มะเร็งตับ มีอัตราการอยู่รอดต่ำก็คือ มะเร็งตับในระยะแรกซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาด
ได้นั้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเคลือ เช่น เสียดท้องด้านขวา มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง 
แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้ ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วย
การทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือ มีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะ
รักษาได้แล้ว

อาการของผู้ป่วย มะเร็งตับ
ที่ชัดเจนก็คือ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัดก็คือ ปวดชายโครง
ด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง

การตรวจหา มะเร็งตับ ทำได้อย่างไร ?
  เนื่องจาก มะเร็งตับ เปรียบเหมือนมฤตยูเงียบ การเฝ้าระวังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการที่
จะเป็น มะเร็งตับ คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปและมีอาการตับแข็งร่วมด้วยควรจะ
ต้องตรวจร่างกายอย่างน้อยทุก 6 เดือน
การตรวจหา มะเร็งตับ ในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาระดับของสารอัลฟาฟิโตโปรตีน (Alfafeto-protein) ซึ่งเป็นสารที่มักพบ
ในผู้ป่วย มะเร็งตับ แต่การตรวจหาค่าอัลฟาฟิโตโปรตีนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 30% 
การตรวจจึงควรจะร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็ก ๆ ได้ ถ้าจะให้ละเอียดมากกว่านี้ก็คือ
 การตรวจโดยใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า C T Scan ซึ่งจะสามารถเห็นมะเร็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตรได้

มีวิธีรักษา มะเร็งตับ อย่างไรบ้าง ?
มะเร็งตับ ดูเป็นโรคที่มีความน่ากลัว เพราะผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะเมื่อตรวจพบมะเร็งก็มีขนาด
ใหญ่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบในระยะแรกๆ ก็มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้ เช่น
1. การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก โดยมีเงื่อนไขว่าก้อนมะเร็งนั้นมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร เป็นมะเร็งก้อนเดียว มีเปลือกห่อหุ้ม
 และอยู่ภายในตับกลีบเดียว วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
2. Transcatheter Oily Chemo-embolization หรือ TOCE ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกได้ เนื่องจาก
มีขนาดใหญ่เกินไป วิธีรักษาแบบ TOCE นี้มักจะกระทำโดยรังสีแพทย์ โดยการสอดสายขนาดเล็กเข้าไปทางเส้นเลือดแดงตับ
 เพื่อเข้าไปถึงก้อนมะเร็งโดยตรงเพื่อใส่ยาเคมีเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง พร้อมทั้งอุดเส้นเลือดหลักที่เข้าไปเลี้ยงก้อนมะเร็งด้วยในเวลา
เดียวกัน วิธีการรักษาแบบนี้ก็ได้ผลอยู่บ้างแต่ไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ โดยส่วนใหญ่มะเร็งจะกลับโตขึ้นมาได้อีก
 หรืออาจแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดหรือกระดูก ในทางการแพทย์การรักษาโดยวิธีนี้จึงเป็นการรักษาเพื่อยืดเวลา
 ในบางกรณีเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงและไม่กระจายไปที่อื่นอาจจะผ่าตัดเอา ก้อนมะเร็งออกเลยก็ได้
3. การใช้คลื่นเสียง RFA (Radiofrequency Ablation) เป็นการฉีดแอลกอฮอล์โดยตรงที่ก้อนมะเร็ง เป็นวิธีการทำลายก้อน
มะเร็งด้วยการใช้เข็มแบบพิเศษ (RF needle) ขนาดเท่ากับไส้ปากกาลูกลื่น ความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร แทงผ่านผิวหนัง
เข้าไปในก้อนมะเร็งเป้าหมาย โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากเครื่อง ทำให้เกิดคลื่นความถี่สูงประมาณ 375-500 KHz 
จะทำให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (Friction heat) ซึ่งจะแผ่กระจายออก
ไปรอบๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน จากการศึกษาพบว่าความร้อนที่มากกว่า 50 องศาเซลเซียส สามารถทำให้
เซลล์ตายได้ ก้อนมะเร็งที่ได้รับการรักษาจะเปรียบเสมือนเนื้อย่าง ซึ่งในต่างประเทศใช้วิธีการรักษามะเร็งตับ RFA
 นี้กันมานานประมาณ 12 ปีแล้ว ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้กันมา ประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้เอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาแบบประทังทั้งสิ้น
4. การเปลี่ยนตับ ปัจจุบันแพทย์ไทยก็สามารถปลูกถ่ายตับได้ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมักมีข้อจำกัดมากมาย 
ทำให้การเปลี่ยนถ่ายตับมักไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา
5. การฉายรังสี วิธีการนี้ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตับที่ดี มักมีผลเสียจากฉายรังสี

มะเร็งตับ ป้องกันได้…
1. แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี แก่เด็กทุกราย รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีการติดต่อของ
ไวรัสตับอักเสบ บี และซี
2. ลดสาร aflatoxin โดยการเน้นการเก็บอาหารให้แห้งเพื่อลดปริมาณ aflatoxin
3. โรคตับแข็ง โดยการลดการดื่มสุรา
4. ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาดิบ ก้อยปลา เพราะอาจจะทำให้เป็น โรคพยาธิใบไม้ตับหรืออาหารที่หมัก เช่น
 ปลาร้า ปลาเจ่า แหนม ฯลฯ เพราะมีสาร ไนโตรซามีน ซึ่งทำให้เป็นโรคมะเร็งตับได้ ควรรับประทานอาหารที่สะอาด
 และปรุงสุกใหม่ๆ
5. ไม่รับประทานอาหารที่มีเชื้อรา ระมัดระวังอาหารที่ตากแห้ง รวมทั้งอาหารที่เตรียมแล้ว เก็บค้างคืน เพราะอาจมีเชื้อราปะปนอยู่
6. ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆ หรืออาหารที่ใส่ยากันบูด
7. ถ้ามีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์

ป้องกันการเกิดโรคตับได้ด่วยทานสาหร่ายสไปรูลิน่า




สารอาหารที่มีประโยชน์ในสาหร่าย สไปรูลิน่า
          กรดโฟลิค  บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง ลำไส้ผิดปกติ
          กรดไขมันจำเป็น GLA ทำให้ผิวนุ่ม ผมดำเงางาม รากผมแข็งแรง
          วิตามินบี12 ช่วยการทำงานของระบบประสาท
          วิตามินอี  ช่วยลดความชรา ริ้วรอย
          ธาตุเหล็ก รักษาโรคโลหิตจาง
          สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ B1 B16 กรดอะมิโน อื่นๆ
          เบต้าแคโรทีน เพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันมะเร็ง บำรุงสายตา
          คลอโรฟิลล์ บำรุงผิว ล้างสารพิษ ลดอาการท้องผูกและโรคกระเพาะอาหาร  ฟื้นฟูตับ
          ไฟโตไซยานิน สีเขียวแกมน้ำเงิน ดูแลตับ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการแพร่เชื้อมะเร็ง


               ส่วนประกอบสำคัญ 1 เม็ด สาหร่ายสไปรูลิน่า 200มก.(100%)
            วิธีรับประทาน
      เพื่อป้องกัน  ครั้งละ 5เม็ด   (3มื้อก่อนอาหาร)
      เพื่อบำบัด    ครั้งละ 10เม็ด (3มื้อก่อนอาหาร)
      เพื่อลดน้ำหนัก  ครั้งละ 15เม็ด(3มื้อก่อนอาหาร)
      ขนาดบรรจุ 200 เม็ด(40 กรัม)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 
คุณ นลินรัตน์  086-9165697  064-2499483
ไลน์


วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

ล้างสารพิษง่ายๆด้วยตัวเอง

ถึงเวลาล้างสารพิษออกจากตัวเราแล้ว




ทุกวันนี้เราต้องเผชิญกับสารพิษมากมาย โดยที่เราสัมผัสกับสารพิษทั้งทางตรงและทางอ้อม และเมื่อเรารับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเรื่อยๆ ก็เกิดสารพิษสะสมจนทำให้เราป่วยเป็นโรคต่างๆขึ้นมาได้
หากท่านใดไม่เคยล้างสารพิษออกจากร่างกายเลย วันนี้ดิฉันก็จะเสนอวิธีง่ายในการล้างสารพิษนั่นก็คือการรับประทานพืชที่สามารถชำระล้างสารพิษในตัวเรานั่นเอง ซื่งพืชหลายชนิดที่ช่วยล้างพิษให้เราได้ เช่น พืช ผัก 5 สี  บางคนเครียดอีกว่าเราจะทานให้ได้ผลมันต้องใช้้จำนวนเท่าใด และผักที่เราทานเข้าไปปลอดสารพิษหรือเปล่า เผลอๆ แทนที่จะล้างพิษกลับเป็นการเพิ่มพิษขึ้นมาอีก เฮ้อ! แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ
วันนี้ขอนำเสนอการล้างสารพิษแบบครบวงจรง่ายด้วย

นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการดูแลสุขภาพ
 ผลไม้ตระกูลสูงมิกซ์เบอร์รี่ 10 ชนิด
       บิลเบอร์รี่, แบล็คเคอร์เรนท์, แครนเบอร์รี,    บูลเบอร์รี่, อัลเดอร์เบอร์รี่, เชอร์รี่,โกจิเบอรรี่, แบล็คเบอร์รี่, 
ราสเบอร์รี่ อาไชอิเบอร์รี่
ü สารสกัดจากกะหล่ำปลี
ü สารสกัดจากรากแดนดิเลี่ยน
ü ไซเลี่ยม ฮักส์
ü ฟรุคโต-โอลิโกแซคคาไรค์
ü สารสกัดจากส้มแขก
ü สารสกัดอัลฟัลฟา
ü วิตตามิน และแกลือแร่
ด้วยหลักการสูตรเฉพาะ 9 + 5 + 4
  DETOX 9 ระบบอวัยวะหลัก
คือ หัวใจ ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ เลือด หลอดเลือด
สุขภาพดี 5 ด้านด้วยผลไม้ 5 สี ไฟโตนิวเทรียนท์
สีเหลือง/ส้ม = บำรุง 
สีแดง = แรงฤทธิ์
               สีขาว/เทา= รักษาสมดุล
              สีม่วง/ดำ = ต้านความเสื่อม
               สีเขียว = สายตา
     ผิวสวย 4 ประการ

   -ผิวเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย          - ผิวกระชับ เต่งตึง
  -ผิวขาว กระจ่างใส                   -ผิวดูอ่อนกว่าวัย
9 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจากสูตร 9+5+4
  1.ล้างสารพิษระบบอวัยวะหลักภายในร่างกาย
  2.ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
  3.ป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้
  4.ป้องกันโรคหลอดเลือด และโรคหัวใจ
  5.ส่งเสริมการสร้างภูมิต้านทานโรค
  6.ช่วยปรับสมดุลระบบภายในร่างกาย เช่น ระบบฮอร์โมนเพศ
  7.ส่งเสริมการทำงานของระบบสายตา เช่น ถนอมดวงตา กล้ามเนื้อตา เลนส์ตา
  8.ส่งเสริมระบบการฟื้นฟูผิวเรียบเนียนขาวกระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัย
  9.ส่งเสริมการควบคุมน้ำหนัก และการลดน้ำหนัก
 แม้คุณจะมีปัญหาและพฤติกรรมเหล่านี้
ü ท้องผูกเป็นประจำ
ü สูบบุหรี่ และดื่มสุราเป็นประจำ
ü เหนื่อย,อ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ
ü กินน้อยแต่น้ำหนักตัวมากเกินไป
ü มีปัญหาตับไม่แข็งแรง
ü มีปัญหาผิวพรรณ ตกกระ ไม่สดใส
ü ต้องรับประทานยารักษาโรคอย่าต่อเนื่อง
ü พักผ่อนไม่เพียงพอ
ü ชอบรับประทานอาหาร ทอด ปิ้ง ย่าง

7 สัญญาณเตือน ที่บอกว่ามีสารพิษสะสมในร่างกายคุณมากเกินไป
เมื่อเราเริ่มตระหนักว่าสุขภาพที่ไม่ดีของเรานั้น มาจากการตัวเลือกที่ไม่ดีในการใช้ชีวิต ทำให้ร่างกายของเรามีสารพิษสะสม เราจึงควรที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนนิสัยของเราในแต่ละวันโดยการดีท็อกซ์ร่างกายเพื่อจำกัดสารพิษนั้นถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจตัวเลือกหนึ่ง
และนี้คือสัญญาณเตือนว่าเราถึงเวลาที่จะต้องกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของเราแล้ว
1. ปัญหาผิวหนัง
หากคุณประสบปัญหาผิวแห้ง เป็นสิว หรือ ผื่นที่บริเวณผิวหนัง เป็นสัญญาณบอกว่าภายในร่างกายของคุณนั้นมีสารพิษตกค้างอยู่
2. แพ้อาหาร
อาการแพ้อาหารบางชนิดเกิดจากการที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของเราเต็มไปด้วยสารพิษ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เรารับประทานอาหารขยะทำให้มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลที่มากเกินไปจนกลายเป็นพิษซึ่งส่งผลให้อาการภูมิแพ้ปรากฎขึ้น
3. ท้องผูก
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการท้องผูกคือการที่ใยอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ลำไส้ไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้นั้นทำให้ลำไส้เป็นพิษ
4. อาหารไม่ย่อย
หนึ่งในสัญญาณที่บอกว่าสุขภาพของลำไส้ของเรานั้นอ่อนแอ เกิดก๊าซในกระเพาะเราจึงรู้สึกท้องอืด ทั้งนี้แบคทีเรียในลำไส้ของเรามีความไวต่อสารพิษเป็นอย่างมาก เมื่อเราได้รับสารพิษ เราจึงรู้สึกไม่สบายท้องและเกิดอาการอาหารไม่ย่อย
5. อาการปวดศีรษะ
อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าร่างกายของเราต้องการการดีท็อกซ์นั้นคืออาการปวดศีรษะและไมเกรน
6. ปัญหาการนอนไม่หลับ
การนอนหลับสนิทเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ในขณะที่เรานอนหลับนั้นร่างกายของเราจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและกำจัดสารพิษ ซึ่งการนอนไม่หลับนั้นเป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณต้องการการกำจัดสารพิษตกค้าง
7. อารมณ์แปรปรวน
ปริมาณของสารพิษที่เราได้รับจากสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่อาหารนั้น ในที่สุดก็จะเข้าสู่สมองของเราซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า หรืออารมณ์โกรธ


สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คุณ นลินรัตน์ 064-2499483  086-9165697
ไลน์


วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) คืออะไรกันนะ


มารู้จักCoenzyme Q10 เพื่อดูแลสุขภาพร่างกายเรา และดูแลหัวใจของเรา
โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน หากอายุมากขึ้นโคเอนไซม์คิวเทนในร่างกายจะลดลง ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น โรคชรา นอกจากนี้ความเครียด การติดเชื้อ การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ อาจทำให้ปริมาณ Coenzyme Q10 ในร่างกายไม่เพียงพอ 
ศัตรูของโคเอนไซม์คิวเทน ได้แก่ การเก็บอาหารไว้เป็นเวลานานและกระบวนการแปรรูปอาหาร แหล่งที่พบโคเอนไซม์คิวเทนตามธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ตับ ไต หัวใจ น้ำมันปลา ปลาทะเลน้ำลึก ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันถั่วเหลือง ผัก รำข้าว ซีเรียล น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
ประโยชน์ของโคเอนไซม์คิวเทน
1.
โคเอนไซม์คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต 
2.
มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพราะถ้าหากร่างกายขาด Coenzyme Q10 เซลล์ในร่างจะหยุดทำงานทันที ! 
3.
มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
4. Coenzyme Q10
มีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ เพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
5.
ช่วยรักษาโรคเหงือก ชะลอความผิดปกติและการดำเนินของโรคพาร์กินสันได้
6.
สำหรับผู้สูงอายุหลาย ๆ คนแล้วการรับประทานโคคิว 10 จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาทันที
7.
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะโคคิว 10 จะไปช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน 
8.
เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคมะเร็งได้
คำแนะนำในการรับประทานโคเอนไซม์คิวเทน
โคเอนไซม์คิวเทนในรูปของอาหารเสริมเป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรเลือกที่อยู่ในรูปของน้ำมันซึ่งจะดูดซึมได้ดีมาก โดยในรูปเจลที่อยู่ในรูปของน้ำมันจะดูดซึมได้ง่ายและดีที่สุด (รับประทานง่ายด้วย) และควรรับประทานแคปซูลขนาด 30 มิลลิกรัม 
ครั้งละ 1-2 เม็ด ได้ถึงวันละ 3 เวลา ทั้งนี้ควรเก็บให้พ้นแสงและเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติหรือเย็น (ห้ามแช่แข็ง)
สำหรับผู้ที่รับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (สเตติน) จะทำให้โคคิว 10 ในร่างกายลดลงได้ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น ! ดังนั้นควรรับประทานโคคิว 10 ร่วมกับสเตตินด้วย
ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับวัยผู้ใหญ่คือ 30 มิลลิกรัม แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคชราหรือเป็นโรคอื่น ๆ ควรรับประทาน 50 – 100 มิลลิกรัม ต่อวัน

แหล่งอ้างอิง : หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์)
#คิวเทน (Q10)
พลัส
อย.10-1-00152-1-0172


โคเอนไซม์ คิว เทน พลัส
ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล
1. น้ำมันจมูกข้าว    175.50  มก.
2. โคเอนไซม์ คิวเทน   30 มก.
3. เบต้า แคโรทีน         15 มก.
4. สารสกัดจากเปลือกสน   14 มก.
5. วิตามินอี           10 มก.
6. แกมมา โอไรซานอล  6 มก.
ประโยชน์
  • ป้องกันโรคหัวใจ
  • ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ลดไขมันในเส้นเลือด
  • ให้พลังงานกับอวัยวะที่ทำงานหนัก เช่น ตับ ไต ห้วใจ และสมอง
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • ป้องกันโรคเหงือก
  • บำรุงผิวพรรณ
  • ต้านอนุมูลอิสระ ลดการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูล รับประทานพร้อมมื้ออาหารหรือหลังอาหารทันที มื้อ เช้าหรือกลางวันก็ได้
ขนาดบรรจุ   30  แคปซูล 
ราคา  1,060  บาท
ต้องการราคาพิเศษสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คุณ นลินรัตน์  064-2499483   086-9165697 
ไลน์  

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้

     พอเอ่ยชื่อว่านหางจระเข้ทุกคนก็จะร้องอ๋อกันเพราะเห็นปลูกกันเกือบทุกบ้านในต่างจังหวัด เป็นว่านที่นำมารักษาอาการต่าง ๆได้ เช่น
- แผลไหม้พุพอง แผลพุพองจากความร้อนที่ไม่ร้ายแรง แผลที่เกิดจากการทำครัว เช่น น้ำมันลวก น้ำร้อนลวก สามารถบรรเทาได้ง่าย ๆ ด้วยว่านหางจระเข้ โดยเอนไซม์แบรดดีไคเนส (Bradykinase) ในว่านหางจระเข้จะช่วยลดอาการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่บริเวณเนื้อเยื่อของแผล ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในบริเวณที่เกิดการไหม้ และแม้จะเป็นแผลที่ง่ายต่อการติดเชื้ออย่างแผลพุพอง ก็วางใจได้เพราะว่านหางจระเข้มีกรดซาลิซิลิก คอยยับยั้งแบคทีเรีย และช่วยสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ ส่วนลิกนินในว่านหางจระเข้ก็เร่งกระบวนการเยียวยาแผลโดยเพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารในเส้นเลือดของผิวหนังไปยังแผลได้ดีขึ้น
- โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคเริมเป็นโรคจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) ที่มักทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก และอวัยวะเพศ ลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส ๆ จากนั้นจะแตกออกและอักเสบจนเกิดแผลเจ็บแสบ โดยตัวยาที่มีว่านหางจระเข้เป็นส่วนผสมจะช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ดี เพราะมีสารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) มีหน้าที่ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งเชื้อโรคและลดการอักเสบของโรค
- โรคต่อมไขมันอักเสบ อาการคัน ผื่นแดง เป็นรังแคบนหนังศีรษะ หรือบริเวณที่มีความมันอย่างใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลังจากต่อมไขมันอักเสบหรือที่คนไทยติดปากเรียกกันว่าโรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่ทางวิทยาศาสตร์พบว่าว่านหางจระเข้ช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี โดยตัวยาที่มีว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบให้ประสิทธิภาพการรักษาถึงร้อยละ 58 นอกจากนี้ยังพบว่าว่านหางจระเข้ช่วยลดความแห้งหลุดร่วงของผิวหนังที่อักเสบไปในตัวได้ด้วย เนื่องจากมีสารโครโมนซี-กลูโคซีล (C-glucosyl Chromone) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ และสารชนิดอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่ช่วยรักษาผิวหนังที่แห้งหรือเป็นผื่น และทำให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดีขึ้น เช่นพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) เอนไซม์แบรดดีไคเนส (Bradykinase) จิบเบอเรลลิน (Gibberellins) และกลูโคแมนแนน (Glucomannan)

สรรพคุณของว่านหางจระเข้ในการลดระดับน้ำตาลและภาวะไขมันในเลือดสูง

- ว่านหางจระเข้ไม่เพียงมีประโยชน์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังช่วยควบคุมน้ำตาลและไขมันในเลือด งานวิจัยหนึ่งได้แบ่งคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งได้รับแคปซูลว่านหางจระเข้ทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 เดือน ส่วนอีกกลุ่มจะได้รับยาหลอกที่ไม่มีผลใด ๆ ต่อการรักษาในปริมาณเดียวกัน พบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด ระดับไขมันในเลือด รวมถึงระดับไขมันชนิดไม่ดีในเลือดลดลง ซึ่งงานวิจัยนี้ศึกษาถึงผลของสารอะซีแมนแนน (Acemannan) ในการช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด สารนี้เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระไฟโตสเตอรอล ซึ่งนักวิจัยได้ทดลองกับหนูที่เป็นเบาหวานแล้วพบว่าไฟโตสเตอรอลจากว่านหางจระเข้มีส่วนช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดและภาวะไวต่ออินซูลินในหนูที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หากมีงานวิจัยที่ชัดเจนขึ้น ว่านหางจระเข้อาจเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัยในการช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

สรรพคุณของว่านหางจระเข้ในการลดภาวะซึมเศร้า

- ว่านหางจระเข้สามารถบรรเทาความหดหู่และความเศร้าได้ เพราะในว่านหางจระเข้มีกรดอะมิโนที่ชื่อว่าทริปโตแฟน (Tryptophan) อันเป็นสารตั้งต้นของเซเรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยป้องกันความเศร้าและความกังวล และดีท็อกซ์สารพิษที่ตกค้างในร่างกายมาเป็นเวลานาน ซึ่งนักวิจัยได้ยืนยันว่าการขับสารพิษในร่างกายนี้จะส่งผลดีต่อสุขภาพจิต โดยล่าสุดมีการวิจัยทดสอบให้หนูอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง เช่น การตกน้ำหรือติดอยู่บนเพดาน จนเกิดอาการซึมเศร้า การวิจัยพบว่าหนูที่ได้กินว่านหางจระเข้เกิดภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับ อย่างไรก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปในอนาคตว่าจะมีการทดสอบที่น่าเชื่อถือรองรับว่าว่านหางจระเข้ใช้ลดภาวะซึมเศร้าในคนได้หรือไม่
ว่านหางจระเข้พลิกชีวิต
       เราทราบคุณประโยชน์ของว่านหางจระเข้กันไปแล้วแต่เราไม่รู้ว่าเราจะสกัดเอามาทำยาได้อย่่างไร
ดิฉันขอแนะนำว่าเราไม่ต้องมาสกัดเองให้ยุ่งยาก เราซื้อที่เขาทำสำเร็จรูปมาแล้วดีกว่าเพราะมีการวิจัย มีการควบคุม ขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่ปลูก การเก็บเกี่ยว รวมถึงการผลิต จากโรงงานที่ผ่านมาตรฐานและในที่นี้ดิฉันขอนำเสนอ ยี่ห้อหนึ่งนั่นก็คือ
                                          น้ำว่านหางจระเข้ ALOE VARA JUICE








ปรืมาณสุทธิ 750 cc ราคา 1,080 บาท
 ในน้ำว่านหางจระเข้ประกอบด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด เช่น วิตามิน เอ็นไซม์ เกลือแร่ กรดอะมิโน ฯลฯ สารที่มีประโยชน์เหล่านี้ถูกผสมผสานขึ้นอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับความสมดุล ของระบบการทำงานในร่างกาย ซึ่งส่งผลถึงสุขภาพที่ดี เมื่อบริิโภคอย่างสม่ำเสมอ
สรรพคุณสำหรับการรับประทาน
1. ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารทำให้การย่อยอาหารเป็นปกติ
2. ช่วยทำลายเชื้อไวรัส ของผู้ที่เป็นหวัดให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
3. ขจัดต้นเหตุของภูมิแพ้ (รับประทานต่อเนื่อง 2-3 เดือน)
4. ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร ฟื้นฟูการทำงานของตับสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
5. ดูดซับและขจัดพิษออกจากร่างกาย 
สรรพคุณสำหรับการใช้ทาภายนอก
  สิว ฝ้า แผลที่เกิดจากความร้อน(ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก) แผลถลอก แผลถูกของมีคม แมลงกัดต่อย ตาปลา  ฟันผุ เหงือกอักเสบ  โพรงปากอักเสบ และมุมปากเปื่อย
ส่วนประกอบ
ว่านหางจระเข้   99.67%
วิตามินซี           0.03%
วิธีรับประทาน 
ป้องกันบำบัดโรค  วันละ 3 แก้วหลังอาหาร มื้อละ 1 แก้ว
บำบัดมะเร็งเนื้องอก  ขั้นที่1-3 วันละ 4 แก้วขึ้นไป ( 120 ซีซี ) ทานต่อเนื่อง 6 เดิอน
บำบัดโรคหอบหืด ภูมิแพ้  วันละ 3 แก้ว (90 ซีซี) หลังอาหาร ต่อเนื่อง 3 เดือน
ผู้ที่ควรแนะนำ
1. ผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้
2. ผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ
3. ผู้มีปัญหานอนไม่หลับ เมารถ เมาเรือ
4. ผู้ป่วยหอบหืด ภูมิแพ้ 
5. ผู้ป่วยมะเร็ง ระยะ 1-3 ใช้ควบคู่กับการรักษาแพทย์ ทานต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน

                         
                         ตัวอย่างผู้ที่ป่วยที่รับน้ำว่านหางจระเข้


คนในรูปนี้คือตัวดิฉันเอง
ดิฉันป่วยเป็นโรคไธรอยด์ เป็นก้อนโตที่คอ รักษาโดยการดูดน้ำออกจากต่อมไธรอยด์และก็รับประทานยาควบคู่กันไป ในที่สุดก็ตัดสินใจตัดต่อมไธรอยด์ทิ้งไป 1 ข้างเนืองจากไม่สามารถทำให้ก้อนยุบลงได้อีกทั้งได้รับยามากเกินไปจนมีอาการใจสั้น มือไม้สั่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรงเดิน หลังจากผ่าตัดได้ 5 ปี อาการก็กำเริบอีกครั้ง คราวนี้หนักกว่าเดิม ใจสั่นมาก กินอาหารไม่ได้ หายใจไม่เต็มปอด และเมื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 1 หมอบอกให้ทำใจเพราะการรักษาค่อนข้างยาก ถ้าฉายแสงก็จะเป็นอันตรายกับอวัยวะสำคัญหลายแห่ง ดิฉันจึงตัดสินใจไม่รักษาทางแพทย์ หันมารักษาทางสมุนไพร และก็ได้ทดลองน้ำว่านหางจระเข้ยี่ห้อนี้ หลังจากรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือนก้อนที่คอก็ยุบและไม่โตอีกเลย และเมื่อครบ 6 เดือนก็ไปตรวจหาเซลล์มะเร็งก็ไม่พบ เหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก แต่ก็เกิดขึ้นแล้วกับตัวดิฉันเอง
และมีตัวอย่างผู้ป่วยที่ทานน้ำว่านแล้วดีขึ้นหลายราย












เจลว่านมหัศจรรย์ ทาผิวไหม้แดด หายเป็นปลิดทิ้ง
ว่านหางจระเข้ เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบ จัดอยู่ในตระกูลลิเลี่ยม (Lilium) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา พันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากมายกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้ายกับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีต่างๆกัน เช่น เหลือง ขาว และแดง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของมัน
คำว่า "อะโล" (Aloe) เป็นภาษากรีซโบราณ หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งแผลงมาจากคำว่า "Allal" มีความหมายว่า ฝาดหรือขม ในภาษายิว ฉะนั้นเมื่อผู้คนได้ยินชื่อนี้ ก็จะทำให้นึกถึงว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เดิมเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย และทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสนิยมว่านหางจระเข้กันเป็นการใหญ่
สรรพคุณ :วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-modin, Aloesin, Aloin, สารประเภท Glycoprotein และอื่นๆ ยางที่อยู่ในว่านหางจระเข้มีสารAnthraquinone ทีมีฤทธิ์ขับถ่ายด้วย ใช้ทำเป็นยาดำ มีการศึกษาวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกของว่านหางจระเข้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะในวุ้นใบว่านหางจระเข้นอกจากจะมีสรรพคุณรักษาแผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรียแล้วยังช่วยสมานแผลได้ด้วย
- ใบ - รสเย็น ตำผสมสุรา พอกฝี
-
ทั้งต้น - รสเย็น ดองสุราดื่มขับน้ำคาวปลา
-
ราก - รสขม รับประทานถ่ายโรคหนองใน แก้มุตกิด
-
ยางในใบ เป็นยาระบาย
-
น้ำวุ้นจากใบ - ล้างด้วยน้ำสะอาด ฝานบางๆ รักษาแผลสดภายนอก น้ำร้อนลวก 
ไฟไหม้ ทำให้แผลเป็นจางลง ดับพิษร้อน ทาผิวป้องกันและรักษาอาการไหม้จากแสงแดด ทาผิวรักษาสิวฝ้า และขจัดรอยแผลเป็น
-
เนื้อวุ้น - เหน็บทวาร รักษาริดสีดวงทวาร
-
เหง้า - ต้มรับประทานแก้หนองใน โรคมุตกิด
คุณสมบัติว่านหางจระเข้ ในเครื่องสำอาง 
ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางที่เตรียมขายในท้องตลาดหลายารูปแบบ เช่น ครีม โลชัน แชมพู และสบู่ สำหรับสาระสำคัญที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอื่นๆ นั้น ได้ค้นพบว่าเป็นสาร glycoprotein มีชื่อว่า Aloctin A เป็น Anti-inflammatory พบในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้
- วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม และเส้นผมสลวย เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะด้วย
- รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมาก เพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทา จะทำให้ผิวหนังมีน้ำ มีนวลขึ้น
- รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยเรียกเนื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ
- โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังลองใช้กับคนไข้ที่เป็นแผล เกิดขึ้นจากนั่ง หรือนอนทับนานๆ
เครดิต : โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และวิกิพีเดีย


ไอริสโซเฟียอโลเวร่า เจล
เป็นเจลว่านหางจระเข้ที่ผลิตขึ้นจากเนื้อว่านหางจระเข้สด จากพันธ์ุบาบาเดนซิล มิล ที่ไม่ได้ผ่านขบวนการแปรรูปซึ่งแตกต่างจากเจลว่านหางจระเข้ในท้องตลาดทั้งหมด ตรงที่เจลว่านในท้องตลาดล้วนทำขึ้นมาจากผงที่สกัดด้วยวิธีสเปรดายล์ หรือฟรีซดายล์ ซึ่งเป็นการแปรรูปว่านหางจระเข้มาแล้วทำให้เกิดการสูญเสียคุณสมบัติไปแล้วส่วนหนึ่ง
สำหรับไอริสโซเฟียอโลเวร่า เจล ใช้เทคโนโลยีระบบ Ultrasonic attack System เป็นกรรมวิธีในการทำผนังเซลล์ของเนื้อว่านหางจระเข้แตกออกด้วยคลื่นไฟฟ้า ทำให้เกิดเซลล์อนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก เพื่อให้สารที่มีประโยชน์ ในว่านหางจระเข้กระจายตัวออกมาและสามารถแทรกซึมผ่านเนื้อผิวหนังของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยให้สารที่มีประโยชน์ในว่านหางจระเข้ออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่
ไอริสโซเฟียอโลเวร่า เจล ผสมโคเอ็นไซม์คิวเทนและวิตามิน C จึงเป็นเจลว่านหางจระเข้ที่ยังคงคุณค่า เสมือนเนื้อว่านจากต้นว่านหางจระเข้สดแท้ รวมทั้งผสมโคเอ็นไซม์คิวเทนและวิตามินC
ประโยชน์ของไอริสโซเฟีย อโลเวร่า เจลผสมโคเอ็นไซม์คิวเทนและวิตามินC
-
ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก
-
ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่ม
-
กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
-
ป้องกันการเกิดริ้วรอย
-
ป้องกันการเกิดสิว
-
ลบรอยแผลเป็นจากสิว
-
ลดอาการระคายเคืองจากการแพ้สารพิษ และพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
-
ลดอาการแสบร้อนจากน้ำร้อนลวกไฟไหม้
-
ชะลอการทำลายผิวจากแสงรังสีอัลตร้าไวโอเลต
-
ช่วยในการสมานแผลและทำให้แผลหายเร็ว
-
ใช้ทำสปาหน้าโดยการนวดเบาๆ ก่อนนอนไม่ต้องล้างออก
https://www.facebook.com/images/emoji.php/v9/fac/1/16/1f4cc.png📌เพื่อความปลอดภัยของท่านโปรดตรวจสอบใบจดแจ้งให้ถูกต้อง
https://www.facebook.com/images/emoji.php/v9/fcc/1/16/1f4dd.png📝เลขจดแจ้ง10-1-5204865


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
นลินรัตน์  064-2499483  086-9165697
ไอดีไลน์