วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

MLMกับบทเรียนชีวิต ตอน 1 วิธีพิชิตใจดาวไลน์ 9 อย่าง






MLM กับบทเรียนชีวิต เป็น บทเรียนแรกที่ ดิฉันได้เปิดหัวข้อใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นการเสริมเติมเต็มความรู้ด้านทักษะการใช้ ชีวิตให้กับพวกเราเศรษฐีนักธุรกิจเครือข่ายได้ประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยแบ่งเป็นตอนๆ สัก 10 ตอน ซึ่งจะเกี่ยวกับชีวิตทั้งหมด ดิฉันเชื่อว่า พวกเราคนทุกคนย่อมอยากเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่ชื่นชมของใคร ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกที่รักของพ่อแม่ เป็นคนที่รักของสามีหรือภริยา เป็นคนที่รักของญาติพี่น้องหรือเป็นคนที่รักของเพื่อนฝูง มันอาจไม่ใช่เรื่องยากเลยหากอยู่ในสังคมของคนใกล้ชิด เช่นคนในครอบครัวหรือวงศาคณาญาติ เพราะว่าเราต่างรักกันโดยความผูกพันทางสายเลือดอยู่แล้ว แต่การจะเป็นที่รักของคนอื่น ๆ เช่น เพื่อนบ้าน เพื่อนที่โรงเรียน หรือเพื่อนร่วมงาน อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าใดนัก เพราะต่างคนก็ต่างที่มา การจะคบหา เรียนรู้กันและกัน ใกล้ชิดสนิทสนม จนถึงขั้นรักใคร่ชอบพอกันนั้นจึงต้องใช้เวลาและต้องใช้ความพยายาม โดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมงานธุรกิจเครือข่ายที่อาจต้องมีการอบรม และช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน หรือการมีความแตกต่างในตำแหน่งหน้าที่ได้มานั้นยิ่งต้องใช้ความพยายามมาก ขึ้นไปอีก แต่หากเราอยากจะเป็นที่รักของดาวน์ไลน์แล้ว ควรใช้ 9 วิธี พิชิตใจดาวน์ไลน์ ดังนี้ 
        1. ยิ้มสร้างมิตรภาพ
              การ ยิ้มเป็นการเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ที่ง่ายที่สุด เพราะคงไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนที่จะกล้าเข้าไปพูดคุยหรือเกี่ยวข้องกับคน ที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่รับแขก หรือแสดงสีหน้าไปในทางที่ดูถูกคนอื่น การยิ้มที่สร้างมิตรภาพ ควรแสดงออกมาด้วยความจริงใจ ทั้งสีหน้าและแววตา เมื่อเราเริ่มยิ้มให้กับใคร เชื่อว่าคนๆนั้นจะต้องเกิดความรู้สึกดี ๆ กับเราอย่างแน่นอน
     
     
  2. เป็นตัวของตัวเอง
              การ แสดงออกซึ่งบุคลิกหรือนิสัยใจคอที่เราเป็น เป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำต่อเพื่อนร่วมงาน เพราะเขาจะได้เรียนรู้ในการที่จะปรับตัวเข้าหาเราได้อย่างเหมาะสม อย่าพยายามแสดงตนเป็นคนอื่นในแบบที่ไม่ใช่ตัวเรา เพราะนั่นจะแสดงให้เพื่อนร่วมงานของเราเห็นว่าเราเป็นคนหลอกลวงและไม่จริงใจ แต่การเป็นตัวของตัวเองนั้นก็ควรระลึกไว้อย่างหนึ่งว่าแม้เราจะมีลักษณะ นิสัยอย่างไรก็ตาม หากเรารู้ว่านิสัยนั้นเป็นนิสัยที่ไม่ดี เราควรจะต้องเรียนรู้ในการที่จะปรับตัวเราด้วยเช่นกัน แต่ไม่ต้องถึงขนาดทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แค่พอให้เราและเพื่อนของเรายอมรับในแบบนั้นได้ก็ดีพอแล้ว
       
       3. เข้าอกเข้าใจผู้อื่น 
              การ เข้าใจผู้อื่นคือการเห็นความสำคัญของเขา (ดาวน์ไลน์)นั่นเอง บางครั้งเพื่อนร่วมงานของเราอาจมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการงานหรือปัญหาส่วนตัวก็ตาม ควรจะหาโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนในการเป็นที่พึ่งพาให้กับเขาเท่าที่เราสามารถ จะทำให้ได้ เช่น รับฟัง ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ไข ว่ากันว่ามิตรแท้ก็คือมิตรในยามยาก ดังนั้น หากเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เพื่อนของเราผ่านพ้นปัญหาไปได้ เราก็จะเป็นที่รักของเพื่อนอย่างแน่นอน
       
       4. เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
              แม้ ว่าการทำงานในบางครั้ง เราอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันกับเพื่อนร่วมงานของเราบ้าง แต่เราต้องเรียนรู้ในการที่จะเป็นคนใจกว้างที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ อื่นด้วย และจะต้องไม่คิดว่าความคิดเห็นของเราเท่านั้นที่ถูกต้องเสมอ การยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน นอกจากจะเป็นผลดีต่อการทำงานเพราะอาจหมายถึงทางที่จะช่วยแก้ปัญหาได้หลาก หลายทางหรือหมายถึงความคิดที่จะเอามาปรับใช้กับงานได้หลากหลายมากขึ้นแล้ว ยังเป็นผลดีต่อความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานว่าเราเป็นคนที่มีน้ำใจในการทำงาน ด้วย ซึ่งนั่นจะทำให้มิตรภาพและบรรยากาศในที่ทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น
       
       5. ปฏิบัติต่อเขาเหมือนอย่างที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา
              การ ทำเช่นนี้ไม่ได้หมายถึง การทำดี การให้เพื่อหวังผลตอบแทน แต่หมายความว่า การทำดีกับใครควรทำด้วยความจริงใจ แล้วความดีนั้นจะส่งผลให้เรามีความสุขในใจนั่นเอง เพราะเมื่อใจเราไม่ได้คิดร้ายกับใครแล้ว แม้ไม่มีใครตอบแทนความดีของเราแต่เราก็สุขใจที่ทำให้คนอื่นมีความสุขนั่นเอง
       
     
  6. ยินดีกับความสำเร็จของดาวน์ไลน์ 
              เช่น เมื่อดาวน์ไลน์ของเราได้เลื่อนตำแหน่งหรือได้รับรางวัลจากการทำงาน เราควรแสดงความยินดีกับเขาด้วยความจริงใจ อย่าละเลยที่จะทำเพราะเห็นไม่สำคัญหรือไม่จำเป็น โดยเราอาจกล่าวแสดงความยินดี เขียนการ์ดหรือมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เพื่อนของเราเพื่อแสดงน้ำใจให้เขาเห็นว่าเรายินดีกับความสำเร็จของเขา จริง ๆ และเมื่อถึงคราวของเราบ้างก็เชื่อว่าเพื่อนของเราก็ต้องยินดีกับความสำเร็จ ของเราด้วยเช่นกัน
       
       7. รักษาคำมั่นสัญญา 
              มี คำกล่าวไว้ว่า เมื่อเราได้รักษาสัญญากับใครแล้วเราต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้นั้น แม้การทำตามสัญญาอาจทำให้เราต้องเสียประโยชน์อย่างใดไป เราก็ต้องยึดคำสัญญานั้นไว้ให้มั่น เช่น เมื่อเรารับปากว่าจะช่วยเพื่อนร่วมงานของเราสะสางงาน หรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานนอกเวลาทำงาน แต่ปรากฏว่ามีงานพิเศษเข้ามาหรือมีคนโทรมานัดไปเที่ยวในวันนั้นพอดี เราก็ควรจะต้องเลือกที่จะช่วยเพื่อนของเราตามที่ได้รับปากไว้แล้ว และเมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าคุณจะเป็นที่รักและที่ชื่นชมของเพื่อนร่วม งานอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
       
       8. ไม่นินทาลับหลัง
              การ ห้ามการนินทาเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำแต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะสังคมธุรกิจเครือข่าย การนินทาจะเป็นการทำลายมิตรภาพที่ดีของเพื่อนร่วมงาน ดาวน์ไลน์มานักต่อนัก เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนไม่จริงใจและเป็นพวกต่อหน้าอย่างลับหลัง อย่าง จึงอาจทำให้เกิดการบาดหมางกันระหว่างเพื่อนร่วมงานได้ ดังนั้น อย่าพยายามเอาตัวเองไปอยู่ในวงนินทา ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็แค่รับฟังแต่ไม่ต้องร่วมนินทาด้วย อย่าให้ความสนุกปากทำให้เกิดเป็นความลำบากใจในภายหลัง และการไม่นินทาถือเป็นการให้เกียรติเพื่อนของเราด้วย
       
       
 9. หากิจกรรมนอกเวลางานทำร่วมกัน
              แม้ เราจะต้องเจอดาวน์ไลน์ของเราทุกวันเวลาทำงานอยู่แล้วก็ตาม แต่การได้ทำกิจกรรมนอกเวลาทำงานร่วมกันที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย จะช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดี รวมถึงเป็นการสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกันได้มากขึ้น การได้พูดคุยในเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องการงาน การได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันอาจทำให้เราเห็นบุคลิกลักษณะและนิสัยใจคอของเพื่อนร่วมงานในมุมที่ เราไม่เคยเห็น ซึ่งก็เป็นประโยชน์ในการปรับตัวเข้าหากันได้อย่างดี กิจกรรมนอกเวลางานที่ควรทำร่วมกัน เช่น ไปรับประทานอาหารเย็น ไปดูหนัง ไปซื้อของ ไปเล่นกีฬา ไปทำบุญ ไปช่วยงานสาธารณประโยชน์
       
       ส่วน การที่จะคน ๆ หนึ่งจะเป็นที่รักของคนอื่น ๆ อาจไม่ใช่ทั้งเรื่องยากและไม่ใช่ทั้งเรื่องง่าย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมนุษย์ที่มักจะเลือกที่รักมักที่ชัง แม้ว่าเราไม่อาจบังคับให้ใครมารักหรือมาชอบเราได้ตามใจของเราเอง แต่คงจะดีไม่น้อยหากคนเราจะเรียนรู้ในการที่จะสามารถรักคนได้ทุก ๆ คนไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม คน ๆ นั้นอาจมีนิสัยไม่น่ารักหรือไม่ถูกใจเรา แต่หากเราเรียนรู้ที่จะมอบความรักและความปรารถนาดีให้กับทุก ๆ คนไปด้วยความจริงใจแล้ว เราจะได้รับสิ่งที่ดี ๆ ตอบแทนกลับมาอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความสุขใจก็เพียงพอแล้ว

     

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

น้ำมัน 5 อย่างช่วยให้บรรเทาการเจ็บป่วยจากประสบการณ์จริง

G-Oil 1001000


สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะแบ่งปันเรื่องสุดยอดผลิตภัณฑ์ G-Oil ของบริษัท100เท่า1000ทวี
มื่อวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2558 ลูกชายของดิฉันประสบอุบัติเหตุโดนไฟดูดจากเครื่องมือกลคือเครื่องเจาะสว่านแบบแท่นที่โรงเรียน ลูกชายเขาสะบัดมือหลุดจากเครื่องจนข้อมือหักทั้งสองข้าง ลูกชายเล่าให้ฟังว่าตอนที่สะบัดหลุดหัวใจกระตุกวูบแล้วก็ตัวเขียวชาไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา ก็ได้ทำการตรวจคลื่นหัวใจ เข้าเฝือก เจาะเลือดเพื่อดูค่าการสลายตัวของกล้ามเนื้อทุก 1 ชั่วโมง ใช้เวลาดูอาการถึงตี 2 คุณหมอก็ให้กลับบ้านและนัดเจาะเลือดในวันรุ่งขึ้น
เครื่องตัวนี้แหละที่รั่วซึ่งกำลังไฟ 320 โวลล์
นอนดูอาการที่ห้องฉุกเฉิน 
ใบที่ใช้ผูกข้อมือตอนนอนดูอาการ

วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ก็ไปตรวจตามที่คุณหมอนัด ผลค่าการสลายตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและลูกก็มีอาการอาเจียนตลอด คุณหมอบอกว่าต้องดูอาการภายใน 1 อาทิตย์ เพราะค่าการสลายกล้ามเนื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจึงจำเป็นต้องมาเจาะเลือดตรวจทุกวันแล้วคุณหมอก็ให้ยาแก้อาเจียนและยาแก้ปวดแล้วให้กลับบ้าน หลังจากที่กลับถึงบ้านดิฉันก็เลยให้ลูกทาน G – Oil 2 แคปซูลหลังอาหาร 3 เวลา ยาแก้ปวดกับแก้อาเจียนไม่ให้ทานเลย

วันที่ 5 สิงหาคม 2558 ลูกตื่นมาตอนเช้า บอกว่าแม่ไม่ปวดข้อมือแล้ว และก็ได้ไปเจาะเลือดพบหมอเหมือนเดิมแต่ก่อนเจาะเลือดดิฉันก็ให้ลูกกิน อีก 2แคปซูล ปรากฏว่าผลเลือดออกมาคุณหมอบอกว่าค่าการสลายตัวของกล้ามเนื้อลดลงมากเกือบเป็นปกติ คุณหมอก็เลยบอกว่าอาทิตย์นี้ไม่ต้องมาเจาะเลือดแล้วหมอนัดอีกทีวันจันทร์หน้าและการทำงานหัวใจ ไต ปรกติหมด พร้อมกับหมอกระดูก หลังจากนั้นดิฉันก็ให้ลูกทาน G-Oil 9ตลอดทุกวัน วันละ 6 แคปซูล จนถึงวันที่หมอนัด
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม2558 ไปตามนัด ก็ไปเจาะเลือดและ X-Ray จากนั้นก็เข้าพบคุณหมอ คุณหมอที่ดูแลทางด้านเลือดก็บอกว่า ดีใจด้วยค่ะคุณแม่ ลูกหายเป็นปรกติแล้วไม่ต้องมาพบคุณหมออีก  จากนั้นก็ไปตรวจห้องตรวจกระดูก คุณหมอก็บอกว่ากระดูกติดดีเขาบอกว่าคงเป็นเด็กก็เลยติดง่าย คุณหมอก็ถามว่าปวดไหมลูกบอกว่าไม่ปวด คุณหมอถามว่ายาแก้ปวดที่ให้ไปพอหรือเปล่าดิฉันก็บอกว่ากินไปเม็ดเดียวคุณหมอก็ทำหน้างงๆ เพราะเป็นขนาดนี้ถ้าเป็นคนไข้อื่นต้องขอเพิ่มอีก และข้อมือที่บวมก็ยุบลงจนต้องเปลี่ยนเฝือกใหม่เพราะหลวมและคุณหมอก็บอกว่าอีกประมาณ 6 อาทิตย์ ถึงจะถอดเฝือกได้ แล้วคุณหมอก็นัดอีก 1 อาทิตย์ เพื่อดูผลX-Ray
วันจันทร์ ที่ 17 สิงหาคม 2558 ก็มาพบหมอตามนัดแล้วก็X-Ray  คุณหมอมองที่ฟิล์ม X-Ray  แล้วก็หันไปคุยกับนักเรียนแพทย์ที่เข้ามาฝึกงานด้วยว่า เด็กคนนี้มีพลังพิเศษอะไรซักอย่างร่างกายของเขาสามารถสร้างเซลใหม่ขึ้นมาถึงสองชั้น ซึ่งถ้าเป็นเด็กคนอื่นจะมีแค่ชั้นเดียว แต่คนนี้แปลกมีสองชั้น และกระดูกก็ติดสนิทแล้ว  คุณหมอก็เลยบอกว่าอีก 2 อาทิตย์หมอจะเอาเฝือกออกให้ ซึ่งย่นระยะเวลาได้ถึง 3 อาทิตย์ (จากนัดวันตัดเฝือก จันทร์ที่ 21 กันยายน 2558 เลื่อนมาเป็น วันที่จันทร์ 31 สิงหาคม 2558)  น้องไปเรียนได้แล้ว ยกจานข้าวได้ตกข้าวทานเองได้ ช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนปรกติเพียงแต่ยังไม่ได้ถอดเฝือกเท่านั้นเอง 
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2558 มาพบแพทย์ตามนัด ก็เอาเฝือกออก ข้อมือปกติแต่แพทย์ห้ามใช้ข้อมือในการออกแรงเป็นเวลา สองเดือนดิฉันขอขอบคุณท่าน Diamond สดชลและDiamond ชดารวิ สุขประดิษฐ์ที่ให้ของเยี่ยมคนป่วยที่วิเศษสุด ขอบคุณ G – Oil  ขอบคุณ บริษัท 100เท่า1000ทวีที่มีสินค้าดีๆให้พวกเราค่ะ ตอนนี้น้องณัฐวัฒน์ กลับมาเป็นปกติค่ะ
   

มาพบแพทย์ตามนัดวันที่ 31 สิงหาคม 2558

                                               
ข้อมือหายเป็นปกติแล้วครับ


ใบรับรองแพทย์และใบนัด









เรามาดูกันว่า G-Oil ช่วยลูกดิฉันให้หายเร็วได้อย่างไร

คุณประโยชน์ G-Oil 
  1.   ป้องกันโรคหัวใจสภาวะหลอดเลือดตีบตัน
  2.   ช่วยระบบการไหลเวียนของโลหิต
  3.  ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  4.  ป้องกันโรคเบาหวานและอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
  5.  ป้องกันโรคจากระบบสมองและระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์  โรคพาร์กินสันฯลฯ
  6.  ป้องกันโรคภูมิแพ้หรือแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
  7.  ป้องกันโรคเกี่ยวกับสายตา
  8.  ป้องกันโรคมะเร็ง
  9. ช่วยทำให้สมรรถภาพดีขึ้น
  10.  ป้องกันโรคตับแข็ง
  11.  ป้องกันโรคไตวาย ไตวายเรื้อรัง
  12.  ช่วยลดความอ้วนและช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น
  13. ช่วยปรับสภาพสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
  14.  ช่วยระบบการขับถ่ายขจัดสารพิษ
  15. ป้องกันต่อมลูกหมากโตอันเป็นสาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมาก
  16.  ช่วยลดอาการติดเชื้อต้านการอักเสบ
  17.  ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส เปล่งปลั่ง
  18.  ป้องกันอาการชาปลายมือ ปลายเท้า
  19.  เสริมสร้างแคลเซียมที่จำเป็นต่อระบบกระดูกและข้อ

ประกอบด้วย น้ำมัน 5 ชนิดคือ

1       น้ำมันมะพร้าว   ประกอบด้วยกรดไขมันขนาดกลาง 3 ชนิด สูงถึง 63% สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ทันที ไม่สะสมเป็นไขมันและความอ้วน ช่วยเพิ่มไขมันดี HDL และลดระดับโคเลสเตอรอล ในร่างกายจึงลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง สร้างภูมิคุ้มกันและสามารถทำลายเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว และไวรัส
     น้ำมันกระเทียม  มีสารประกอบกำมะถันมาก และมีสาระสำคัญต่อร่างกายอีก 33 ชนิด เมื่อรวมตัวกับน้ำมันมะพร้าวที่สกัดเย็น จะได้กรดอัลฟ่าไลอิก ซึ่งเป็น Supper Antioxidant หรือ       Unversal Antioxidant คือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ช่วยบำรุงปลายประสาทอักเสบและต้อกระจกที่เกิดจากเบาหวาน ช่วยในระบบย่อยอาหารทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ป้องกันตับจากการถูกทำลายของสารเคมี
   น้ำมันรำข้าว  มีส่วนผสมที่สำคัญจากจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ประสาทและสมอง ช่วยเสริมสร้างความจำ ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยลดอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง ชะลอความแก่และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
    น้ำมันงาขี้ม้อน  ได้รับการชึ้นชื่อว่าเป็น โอเมก้า 3 แห่งขุนเขา  เพราะมีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาทะเลน้ำลึก เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้อาหารทะเลมีสาร EPAและ  DHA ช่วยระบบประสาทในการพัฒนาการเรียนรู้ ความฉลาด การจดจำ ป้องกันความจำเสื่อมในวัยชรา ช่วยในการมองเห็น ต้านการอักเสบลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ สาเหตุของโรคหัวใจและสมอง
           โคเอ็นไซม์ คิวเท็น   ได้จากสารสกัดมาจากยีสต์ Schizo-sacdaromyces  pombe เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่เซลล์ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้นส่งผลให้เซลล์เสื่อมช้าลง ความจำดีขึ้น ป้องกันโรคอับไซเมอร์และปกป้องเซลล์จากการทำลายของรังสี ยูวีเอ ต่อผิวหนัง ป้องกันการเกิดริ้วรอยและผิวเสื่อมก่อนวัย

https://www.facebook.com/profile.php?id=100009951372306
วิธีรับประทาน :  รับประทานครั้งละ 2 แคปซูลพร้อมอาหาร
ราคาเต็ม 1100   ราคาสมาชิก  840 บาท  125 pv  ขนาด แพค 6 ขวดราคา 6000  บาท





วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

                          เราเป็นคนประเภทไหน ?หลักธรรมในพระไตรปิฎกที่มีชื่อว่า “อันธสูตร” พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่าคนเราแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ 
๑ คนตาบอดสองข้าง
๒ คนตาบอดข้างเดียว
๓ คนตาดีทั้งสองข้าง

คนตาดีทั้งสองข้างหมายถึง 
1. เป็นคนรู้จักหาเงิน – หาโภคทรัพย์เก่ง
2. เป็นคนรู้จักใช้ธรรมะ คือเอาธรรมะมาใช้เป็น รู้ว่าธรรมะฝ่ายใดเป็นธรรมะฝ่ายดำ และธรรมะฝ่ายใดเป็นธรรมะฝ่ายขาว ธรรมะอะไรสมควรนำมาใช้ก่อน ธรรมะอะไรยังไม่สมควรนำมาใช้ ต้องแยกให้เป็น

คนตาบอดข้างเดียวหมายถึง คนที่หาโภคทรัพย์เก่งแต่ยังไม่รู้ธรรมะ
คนตาบอดสองข้างหมายถึง คนที่ไม่รู้จักหาโภคทรัพย์คือหาเงินไม่เป็นแล้วก็ไม่รู้จักธรรมะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ให้พิจารณาตัวเองนะว่าเราเป็นคนประเภทไหน?

เหตุใดคนยังจนอยู่ ?
เคยสงสัยบ้างไหมว่าเราก็ขยันทำมาหากินแต่ทำไมเราจึงไม่รวยกับเขาสักที ทั้งที่ เลือกอาชีพที่ใช่เลือกอาชีพที่ใครๆเขาก็ว่าทำให้รวยเร็ว ไม่เสี่ยง ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ก็ยังไม่สำเร็จเพราะอะไร ที่เป็นเช่นนี้ในทางพุทธศาสนาเป็นเพราะว่าเรายังติดขัดอยู่ ๓ ประการคือ
๑. ในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ เหตุข้อนี้ไม่ได้หมายความเพียงแต่ชาตินี้ แต่ให้นับย้อนไปในอดีต ก็อาจจะมีบางชาติที่เราไม่ได้เคยเลี้ยงดูพ่อแม่ ตรงนี้เป็นเรื่องแรกที่เราหลายคนนึกไม่ถึงว่าการที่คนเรายังเจ็บยังจนอยู่เป็นเพราะบางชาติเราไม่เคยเลี้ยงดูพ่อแม่ หรือบางทีชาตินี้เองก็ยังเคยพูดให้พ่อแม่เสียใจหรือล่วงเกินพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว
๒. อย่าเผลอไปว่าพระ จะทำกินไม่ขึ้น คือการที่เราไปล่วงเกินผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า บางทีเราเผลอไปว่าคน ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเขามีคุณธรรมสูงกว่าเราหรือเปล่า ยกตัวอย่างง่ายๆเรื่องพระสงฆ์ เราได้ยินว่าพระสงฆ์บางรูปไปปล้ำสีกา จริงอยู่การปล้ำสีกาอย่างน้อยผิดศีล ๒ ข้อแต่ศีลของท่านมีทั้งหมด ๒๒๗ข้อ ก็ยังเหลือศีลอยู่ ๒๒๕ ข้อ แล้วศีลของเรามีเท่าไร....แค่ศีล ๕ ยังไม่ค่อยจะครบเลยยังไงก็ยังน้อยกว่าพระอยู่ดีแล้วเราก็ไปว่าท่าน นั่นแหละคือการไปล่วงเกินคนที่มีคุณธรรมสูงกว่าก็เป็นเหตุให้เราทำกินไม่ขึ้น มีอีกประเภทหนึ่งเป็นการล่วงเกินแบบไม่รู้ตัว เช่น เรากำลังขับรถเห็นรถคันหน้าอยู่เลนขวาแต่ขับช้า ที่จริงเขาเป็นคนสูงอายุแล้วเลนขวามันก็ว่างเขาก็ขับไปโดยไม่คิดอะไร แต่บังเอิญคนสูงอายุคนนั้นเป็นคนมีคุณธรรมสูง เขาฝึกกรรมฐานเป็นผู้ทรงฌาน ผู้ทรงฌานหนักกว่าผู้ทรงศีลเสียอีก เราไปล่วงเกินท่านโดยการบีบแตรว่าเลยก็ถือเป็นการล่วงเกิน การล่วงเกินไม่จำเป็นต้องว่าด้วยคำพูดอย่างเดียว นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำกินไม่ขึ้น ทั้งที่เราเป็นคนขยันแทบตายทำงาน สองสามที่ แต่ทำเท่าไรก็ไม่พอใช้ นั่นเป็นเพราะว่าเราไปล่วงเกินผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า
. ขโมยเวลานายจ้าง ทำยังไงก็ไม่รวย บางทีเราเผลอไปผิดศีลข้อสองคือลักทรัพย์ เป็นเหตุให้ทำเท่าไรก็ไม่เหลือ เช่น บางคนทำงานวันละ ๘ ชั่วโมง อยู่หน้าจอคอมฯ งานไม่มีอะไรทำเราก็เอาเกมมาเล่น แปลว่าเรากำลังโกงเวลาบริษัท หรือบางทีเจ้านายใช้ให้ไปซื้อของ จริงๆแล้วซื้อของแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้วเราแถมเดินช้อปปิ้งต่ออีกสองชั่วโมงแล้วอ้างบอกว่ารถติด งานนี้ก็ถือว่าเราโกงเวลาบริษัทถือเป็นการลักทรัพย์โดยไม่รู้ตัว
                                  การทำพิธีขอขมา 




- จัดดอกไม้ 5 คู่ (10 ดอก ) เทียน 5 คู่(10เล่ม) ใส่พานให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือเป็นตัวแทนของพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณสูงกว่าทุกภพทุกชาติพร้อมกล่าวคำขอขมา “กรรมใดที่ข้าพเจ้าไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่หรือว่ากล่าวให้พ่อแม่เสียใจภพหนึ่งชาติใดก็ตามหรือกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำอทินนาทานกับผู้อื่นภพหนึ่งชาติใดก็ตามขอให้พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ได้โปรดเป็นตัวแทนรับคำขอขมาของข้าพเจ้าด้วย” ให้กล่าว 3 ครั้ง
- ตัวแทนที่รับคำขอขมาให้กล่าว “อโหสิ” 3 ครั้ง
สมถกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐาน ต่างกันอย่างไร?
สวัสดีค่ะหลังจากห่างหายไปหลายวัน วันนี้จะขอยกข้อความบางตอนของท่านอาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา ในเรื่องของสมถะได้สมาธิ วิปัสสนาเกิดปัญญา ซึ่งจะเปรียบเทียบให้เข้าใจระหว่างสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน
สมถกรรมฐาน คือ การภาวนาเพื่อให้เกิดการสร้างฌาน เช่นการกำหนดลมหายใจเข้าออก การภาวนาพุทโธ ระหว่างภาวนาไปถ้าไม่สามารถสร้างฌาณให้เกิดขึ้นได้ที่นั่งภาวนาไปก็สูญเปล่า
วิปัสสนากรรมฐานเป็นกรรมฐานที่มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดสติเกิดปัญญา ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความสงบซึ่งต่างจากสมถกรรมฐานที่ได้บุญน้อยกว่าเนื่องจากฝึกเพื่อให้เกิดความสงบ เมื่อเกิดความสงบแล้วถึงเกิดสมาธิเกิดฌาณตามมา แต่วิปัสสนากรรมฐาน ถึงเราสติหลุดบ้าง บางครั้งเกิดสติหนอ ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่แค่หนอคำเดียวก็ได้บุญมหาศาลแล้ว 


ยกตัวอย่างพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ชื่อพระนางมัลลิกา เคยทำกรรมบางอย่างไว้ เวลาเสียชีวิตก็ไปตกนรก ระหว่างอยู่ในนรก พระเจ้าปเสนทิโกศลก็จะเพียรถามพระพุทธเจ้าว่าขณะนี้พระนางมัลลิกาไปอยู่ภพภูมิไหนคือพระองค์ก็คาดหวังว่าพระนางมัลลิกาทำบุญมาก็เยอะ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาก็มากคงจะได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นแน่ แต่พระพุทธเจ้าก็เลี่ยงไม่ตอบ เพราะว่า ณ ขณะนั้นพระนางมัลลิกาไปเกิดเป็นสัตว์นรกอยู่ พอเวลาล่วงไป ๗ วัน พระนางมัลลิกาอาศัยว่าเคยปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาก็เลยติดเป็นนิสัย เวลาโดนลงโทษในนรกเกิดการบาดเจ็บ เธอก็อุทานว่า “เจ็บหนอ” แค่หนอเดียวก็ทำให้พระนางมัลลิกาดีดจากนรกขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เลย และนี่จึงเป็นต้นเหตุของการสวดศพ ๗ วันเพื่อให้เท่ากับพระนางมัลลิกาที่อยู่ในนรกเผื่อญาติจะได้ส่งผลบุญไปให้ได้ทัน