วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความเชื่อที่ว่า “เราต้องทำได้” คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

ความเชื่อที่ว่าเราต้องทำได้ คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

ถ้าเราขับรถเข้า ป่าไปและไปเจอต้นไม้ล้มขวางถนนอยู่ ถ้าเราคิดว่าคงไปต่อไม่ได้แน่ๆ เราอาจจะตัดสินใจถอยรถกลับบ้านไปเลย  แต่...ถ้าใจเราคิดว่าเราต้องไปให้ได้ สมองของเราก็จะทำงานต่อโดยพยายามหาหนทางที่จะช่วยให้เราสามารถผ่านต้นไม้ที่ ล้มขวางไปได้ เช่น 
·         ลองหาเครื่องมือที่พอมีอยู่ในรถมาจัดการกับกิ่งไม้เล็กๆก่อนเผื่อว่าอาจจะพอมีช่องให้รถเราผ่านไปได้
·         นั่งรอจนกว่ามีคนมาช่วยจัดการนำเอาต้นไม้นี้ออกไป
·         รอผู้ใช้รถคันอื่นมาสมทบและค่อยช่วยกันยกต้นไม้ออกไป เพราะเส้นทางนี้คงไม่มีแค่เพียงเราเท่านั้นที่ต้องผ่าน
·         เดินไปขอความช่วยเหลือหรือยืมเครื่องมือจากชาวบ้านแถวนั้น
·         ลองเดินลงไปสำรวจดูว่าทางเบี่ยงข้างๆถนนที่รถเราน่าจะพอผ่านไปได้บ้างหรือไม่
·         จะโทรไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่
·         ดู แผนที่เพื่อดูว่ามีเส้นทางอื่นอีกหรือไม่ที่สามารถไปถึงจุดหมายที่เราต้อง การจะไปได้ เช่น ทางลัดที่เป็นถนนเส้นเล็กๆ หรือเส้นทางอื่นที่อาจจะมีระยะทางไกลกว่า
การดำเนินชีวิตของคนเรา คงไม่แตกต่างอะไรจากตัวอย่างนี้ เพราะในทุกวันเรามักจะประสบพบเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมาย มีทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก มีทั้งเรื่องที่เจอบ่อยและไม่บ่อย และหลายครั้งที่เรายอมแพ้ปัญหาเพราะใจเราไม่สู้ พอใจไม่สู้คิดว่าทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ สมองของเราก็จะปิดประตูไม่คิดอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจเราบอกว่าต้องเป็นไปได้ น่าจะพอมีหนทางแก้ไขได้ สมองของเราก็จะรับคำสั่งไปดำเนินการคิดหาหนทางต่อจนกว่าจะได้คำตอบหรือจน กว่าจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้จริงๆเหมือนที่ใจเราคิดตั้งแต่แรก  คนหลายคนที่ไม่สามารถสานฝันให้เป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง เขาไม่มีโอกาส แต่...เขามักจะทำลายโอกาสในชีวิตด้วยการสะสมสารพัดข้ออ้างไว้มากเกินไป เช่น
·         อยากทำธุรกิจส่วนตัว แต่คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเราไม่มีเงินทุนเพียงพอ
·         อยากออกจากงานประจำไปทำอาชีพอิสระ แต่กลัวว่าไม่มั่นคง รายได้ไม่แน่นอน
·         อยากจะเรียนต่อ แต่คงจะยากเพราะไม่มีเวลาและบริษัทคงไม่อนุญาตให้เรียน
·         อยากจะทำสวนแต่ไม่มีที่ดิน เงินก็ไม่มี คงเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
ข้ออ้างเหล่านี้ มักจะตัดโอกาสดีๆในชีวิตของเราทิ้งไปเยอะมาก ข้ออ้างหลายอย่างเกิดจากความรู้สึกของตัวเราเองเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากข้อมูลและข้อเท็จจริงอะไรเลย บางข้ออ้างได้รับอิทธิพลมาจากคนอื่น เช่น เพื่อนเราออกจากงานประจำไปทำธุรกิจส่วนตัว ปรากฏว่าทำได้ไม่นานธุรกิจไปไม่รอด กลับมาทำงานเป็นลูกจ้างเหมือนเดิม และหางานยากกว่าเดิมอีก โดยที่เรายังไม่ได้วิเคราะห์ว่าตัวเรากับเพื่อนเราคนนั้นมีอะไรเหมือนหรือ ต่างกันบ้าง หรือมีอะไรบ้างที่เพื่อนเราผิดพลาดไปแต่เราสามารถนำมาป้องกันแก้ไขได้

เพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถลด ละ เลิกการสะสมข้ออ้าง หรือกำจัดข้ออ้างที่มีอยู่ในชีวิตและทำให้ชีวิตก้าวหน้ากว่าที่ควรจะเป็น ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
 
ตรวจสอบดูว่าปัจจุบันเรายังมีความฝันหรือเป้าหมายอะไรบ้างที่เรายังไปไม่ถึงหรือยังไม่เป็นจริง
ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบว่าเป้าหมายในชีวิต ณ เวลานี้ มีอะไรบ้าง แต่ละเรื่องเราต้องการไปให้ถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ เช่น เราอยากศึกษาต่อ เราอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ฯลฯ และถ้าเป็นไปได้ ลองคิดย้อนกลับไปหาความฝันบางเรื่องที่เราเคยตัดใจลบทิ้งไปแล้วด้วยว่ามี อะไรบ้าง เพราะบางเรื่องอาจจะยังมีหนทางที่พอเป็นไปได้ พูดง่ายๆคือเรารีบกำจัดความฝันด้วยการฟันหน่อของความฝันทิ้งตั้งแต่เพิ่ง งอกออกมาจากหัว เช่น เราเคยคิดอยากจะเป็นดารา/นักการเมืองตอนที่เรายังหนุ่มๆหรือเป็นวัยรุ่น เราเคยคิดอยากจะไปทำงานเมืองนอก ฯลฯ แต่ตอนนี้เราเลิกคิดไปหมดแล้ว
 
รวบรวมข้ออ้างที่ทำให้ความฝันของเรายังไม่เป็นจริง
ขอให้วิเคราะห์ดูว่าความฝันหรือเป้าหมายในชีวิตที่เราเคยกำจัดทิ้งไปแล้ว หรือยังค้างคาอยู่ในใจในปัจจุบัน แต่ละข้อนั้นเรามีข้ออ้างอะไร เช่น เราเป็นดาราไม่ได้แน่ๆเพราะตอนนี้แก่แล้ว หรือเราคงจะร่ำรวยไม่ได้หรอกเพราะเราทำงานกินเงินเดือน เราคงจะไม่ได้เรียนต่อเมืองนอกแล้วแน่ๆ เพราะมีครอบครัวแล้ว ลูกก็เล็กอยู่ ฯลฯ ซึ่งอาจจะทำสรุปข้ออ้างกับเป้าหมายในชีวิตออกมาเป็นตารางเพื่อดูว่าข้ออ้าง อะไรบ้างที่ขัดขวางเป้าหมายในชีวิต เพราะข้ออ้างบางเรื่องอาจจะขัดขวางเป้าหมายในชีวิตมากกว่าหนึ่งเป้าหมายก็ ได้ เช่น เราไม่มีเงินอาจจะขัดขวางทั้งเป้าหมายในการศึกษาต่อ เป้าหมายในการทำธุรกิจส่วนตัว ฯลฯ
 
กำจัดข้ออ้าง
จริงๆแล้วข้ออ้างคือตัวถ่วงในชีวิตของคนเราที่สำคัญมาก ดังนั้น จึงขอแนะนำให้กำจัดข้ออ้างในชีวิตให้หมดไปหรือเหลือน้อยที่สุด โดยวิธีการในการกำจัดข้ออ้างที่ดีที่สุดคือ
 
ให้ตอบคำถามว่า มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่
ให้เราเริ่มต้นจากการนำเอาเป้าหมายแต่ละข้อพร้อมกับข้ออ้างที่เรารวบรวมมา ได้ ลองนำมาถามตัวเองว่าโอกาสที่จะทำให้เป้าหมายในชีวิตเรื่องนั้นๆเป็นจริงมี หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ เป็นไปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุด้วยผล เช่น เราเป็นทหารไม่ได้แน่นอนเพราะเราเป็นคนพิการแขนและขา เราอยากจะเป็นนักสำรวจอวกาศขององค์กรนาซ่า แต่คงเป็นไปไมได้หรอกเพราะตอนนี้เราอายุ 50 แล้วและมีความรู้แค่เพียง ป.4 ฯลฯ ขอให้ลบความฝันเหล่านี้ทิ้งไปเลยไม่ต้องเก็บมาหลอกหลอนตัวเองอีกต่อไป เพราะยังไงก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ
 
คิดหาทางออกให้คำถามที่ตอบว่า
น่าจะพอมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง
เป้าหมายชีวิตข้อใดที่เราคิดว่าพอมีหนทางเป็นไปได้บ้างแม้จะมีอยู่เพียงน้อย นิดก็ให้นำมาคิดต่อว่ามีทางเลือกหรือแนวทางอะไรบ้าง เช่น
- โอกาสที่เราจะได้เป็นนักการเมืองระดับชาติ น่าจะพอเป็นไปได้ แม้ว่าเราไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อนและไม่มีฐานเสียงอะไรมาก่อน สำหรับแนวทางก็พอมีบ้าง เช่น ลงเลือกตั้งในช่วงที่พรรคฝ่ายค้านประท้วงไม่ลงสมัครเหมือนที่คนบางคนได้ คะแนนเพียงไม่กี่พันคะแนนก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้ หรือไปแต่งงานกับลูกนักการเมืองที่เขามีฐานเสียงดีอยู่แล้ว หรือไปทำงานด้านมูลนิธิเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น หรือไปเป็นที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดกับนักการเมืองที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หรือไปทำงานเกี่ยวกับอาชีพที่คนรู้จักมาก เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง พิธีกร ฯลฯ แล้วค่อยไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกที่ไม่ต้องสังกัดพรรคและใครก็ สมัครได้ถ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน
- โอกาสที่เราจะศึกษาต่อเมืองนอก แม้ว่าเราจะมีครอบครัวแล้วก็น่าจะพอเป็นไปได้ เช่น เลือกไปทำงานกับบริษัทต่างชาติที่มีโอกาสย้ายเราและครอบครัว ไปทำงานต่างประเทศก่อนและค่อยหาหนทางในการศึกษาต่อต่อไป หรือสอบชิงทุนการศึกษาต่างประเทศ หรือทำงานกับบริษัทที่มีทุนเรียนต่อต่างประเทศในขณะเดียวกันก็ยังมีเงิน เดือนเลี้ยงครอบครัวอยู่ด้วย หรือเก็บเงินและเรียนทางไกลกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศผ่านอินเตอร์เน็ตโดย ไม่ต้องไปอยู่ประจำ แต่สามารถเรียนต่อได้ ทำงานไปด้วยก็ได้
อ. ขอสรุปดังนี้ ข้ออ้างในชีวิตของเราจะหมดไปด้วยการ ลบเป้าหมายที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริงๆออกไปจากชีวิต และให้เปลี่ยน
ข้ออ้าง ของเป้าหมายชีวิตที่พอมีหนทางเป็นไปได้ ให้เป็น แนวทางถึงเวลานี้ชีวิตเราก็คงจะไม่มีข้ออ้างหลงเหลืออยู่เลย


เคยสงสัยหรือไม่คะว่า  ผลลัพธ์ที่ได้รับในธุรกิจเครือข่ายนั้นมีผลมาจากสิ่งใด ?
เหตุใดจึงไม่ได้รับผลลัพธ์จากธุรกิจเครือข่าย เท่าที่คุณต้องการ ? และจะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์จากธุรกิจเครือข่ายได้อย่างไร ? ดิฉัน มีคำตอบที่อยากทราบ ดิฉันจะพาเข้าไปรับรู้ถึงสูตรสำเร็จที่เป็นที่มาของผลลัพธ์ในธุรกิจเครือข่ายของทุกคน   และยิ่งกว่านั้นสูตรนี้สามารถใช้ได้กับทุก ๆ เรื่องของชีวิตได้ ไม่เฉพาะแค่ธุรกิจเครือข่าย เท่านั้น ถ้าเข้าใจและนำไปใช้ก็จะเกิดผลลัพธ์แบบที่ต้องการได้
สูตรที่ว่านั้นคือ E(Environtment) + I(You) = R(Result) หรือ สภาพแวดล้อม + ตัวเรา = ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
แปลกใจกับความเรียบง่ายของสูตรนี้ใช่ไหม แต่ ดิฉับอกได้เลยค่ะว่า สูตรนี้เป็นเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุก ๆ เรื่องของชีวิต ไม่เฉพาะในธุรกิจเครือข่าย เท่านั้นค่ะและถ้าเข้าใจ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่เราต้องการได้จากการสูตรนี้นั่นเอง
ก่อนอื่น ดิฉันอยากจะอธิบายสูตรนี้ให้เข้าใจกันเสียก่อน การที่ผลลัพธ์ใด ๆ เกิดขึ้นนั้น มาจากสภาพแวดล้อมของคุณรวมกับตัวคุณ เช่น วันนี้เราอยู่ในบริษัทธุรกิจเครือข่าย ที่ทุก ๆ คนล้วนแล้วแต่คิดบวกด้วยกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนคิดบวก แต่ถึงอย่างไรผลลัพธ์ออกมาคุณก็จะกลายเป็นคนคิดบวกได้ในที่สุด ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าคุณเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมของคนที่คิดลบ ถึงจะไม่มีความคิดลบ ๆ เราก็จะกลายเป็นคนคิดลบในที่สุด นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากสูตรนี้แทบทั้งสิ้น
คำถามก็คือแล้วถ้าเราจะต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์เหล่านี้ เราจำเป็นต้องทำเช่นไร ?การที่ตัวเราจะเปลี่ยนผลลัพธ์ของตัวเอง  เราสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หรือเปลี่ยนที่ตัวเอง แต่การที่จะเปลี่ยนนั้นอ.อยากให้ลองดูสมการสมมุติต่อไปนี้ดูครับ ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมลบอย่างสุดขีด สมมุติอ.ให้ค่าสภาวะแวดล้อมลบเป็น 100 ตัวเราคิดบวก 50 ก็จะได้สมการเป็น -100 + 50 = -50 ซึ่งก็คือ เราก็จะกลายเป็นคนคิดลบถูกไหมครับ ดังนั้นถ้าเราจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกจากสมการด้านบน เราจำเป็นต้องเพิ่มค่าคิดบวกของเราให้สูงเกิน 100 หรือลดสิ่งแวดล้อมลบให้น้อยลง เราก็จะสามารถกลายเป็นคนคิดบวกได้นั่นเองแต่สมการด้านบนนั้นเป็นเพียงแค่การจินตนาการในชีวิตเท่านั้น   ที่แทบจะไม่มีทางเป็นจริงได้ในชีวิตของเรา เพราะเราไม่สามารถวัดค่าคะแนนออกมาเป็นตัวเลขได้ ในบางครั้งเราแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมบวกหรือลบ หรือตัวเรามีค่าเป็นบวกหรือลบกันแน่ ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจำเป็นต้องทำคือ การเปิดใจกว้างพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา และพิจารณาตัวเองเป็นลำดับต่อมาคำถามอีกคำถามก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?
ตอบได้ง่าย ๆ ค่ะ ถ้าวันนี้เรายังไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ในชีวิตของเรา แสดงว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผลลัพธ์นั้นไม่เคยโกหกใคร ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เป็นจริงที่สุด และไม่สามารถโต้แย้งได้
แล้วอะไรเปลี่ยนง่ายกว่ากันระหว่างตัวเรากับสิ่งแวดล้อม ?ในกรณีนี้ดิฉันขอแยกออกเป็น 2 คำตอบค่ะ ถ้าเปลี่ยนแล้วได้ผลที่สุด คือการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าเราเป็นคนไม่เอาไหน ขี้เกียจมาก แต่ถ้าเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนที่ขยัน และประสบความสำเร็จ เราก็จะเกิดแรงกระตุ้นเชิงบวกให้คุณลงมือทำ และเราก็จะได้รับผลลัพธ์เท่า ๆ กับคนที่ประสบความสำเร็จได้เอง แต่การจะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมนั้นบางคนอาจจะไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ่งแวดล้อมลบ ๆ บางครั้งอาจจะเป็นคนที่รัก เป็นครอบครัว
ดังนั้นถ้าถามถึงความง่ายในการเปลี่ยน นั่นก็คือต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา แต่ดิฉันบอกได้เลยค่ะว่าไม่ได้ง่ายเลย เราลองคิดดูซิคะถ้าตัวเราตั้งใจว่าจะไม่ทานข้าวเย็น แต่ต้องไปงานเลี้ยงโต๊ะจีน เราจะทนไม่ทานได้หรือคะ คงเป็นไปได้ยากนอกจากเราจะมีความตั้งใจที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวนี่คือคำแนะนำจากดิฉัน ถ้าเราอยากเปลี่ยนผลลัพธ์ในธุรกิจเครือข่าย หรือในชีวิตของเราได้อย่างรวดเร็ว ให้เราเอาตัวเราเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ คนที่ประสบความสำเร็จ และเราจะสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับพวกเขา แต่ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราได้ เราจะต้องเพิ่มเกราะป้องกันตัว ด้วยความรู้จากการอ่านหนังสือ  การเข้าสัมมนา และที่สำคัญเราต้องลงมือทำจึงจะได้ผลลัพธ์

การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมหรือตัวเรา จะทำให้ผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ถ้าเรามีความเข้าใจ และลงมือทำ เราก็จะสามารถลิขิตผลลัพธ์ในธุรกิจเครือข่าย หรือในชีวิตของเราได้ด้วยตัวเราเอง
"อดีต ปัจจุบัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"

โดยธรรมชาติมนุษย์นั้นจะเป็นผู้ที่คิดคำนึงถึงแต่เรื่องของตนเอง ตั้งแต่ "อดีต ปัจจุบัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต" มนุษย์เราจะคิดใน 3 เรื่องนี้วนไปเรื่อยแต่จะคิดได้ครั้งละเรื่องเท่านั้น
อดีต คือเรื่องราวความสุข,ความทุกข์ในอดีตนั้นจะทำให้ตัวเรานั้นเชื่อว่าเราเป็น คนแบบไหน? เพราะอดีตคือ เขตความสบาย Comfort Zone ที่เรามักจะไปหลบซ่อน หรือยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมทำในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตในปัจจุบัน หรืออาจจะเป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตของบุคคลนั้นๆ ก็ได้

เมื่ออนาคตคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นไปในทางที่ดี หรือในทางที่ไม่ดีก็ได้...
สิ่งที่จะทำให้เราสามารถสร้างภาพอนาคตในห้วงความคิดนั้นก็คือ...

"ใช้แรงผลักดันในอดีต + การตัดสินใจ ณ เวลาปัจจุบันนั้นเอง = สิ่งที่เราต้องการในอนาคต"

แม้ว่าการวางแผนอนาคตนั้นจะเริ่มต้นจากสิ่งที่จับต้องไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ใน ห้วงความคิดเท่านั้น แต่กลไกที่จะทำให้เกิดอนาคตที่สดใสนั้นจะเริ่มต้นที่
1. ตั้งเป้าหมายในอนาคตของคุณให้ชัดเจน ไม่กว้างจนเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด หรือสิ่งที่คุณต้องการในขณะนี้ก็ตาม
2.  กำหนดระยะเวลาให้กับเป้าหมายของคุณนับตั้งแต่คุณตัดสินใจ...1 ปี, 3 ปี ,5 ปี...
3. ศึกษา และมองหาหนทาง​อย่างสร้างสรรค์ในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ
4. เขียนเป้าหมายในอนาคตของเพื่อเตือนความจำ และที่สำคัญเพื่อเป็นการให้คำสัญญากับตัวเอง
5.  ประกาศเป้าหมายของคุณให้เป็นที่รับรู้กับเพื่อน ญาติพี่น้อง ภรรยา สามี หรือลูกของคุณ
6.  ลงมือทำ...ทำ...ทำ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ
7.  อย่าล้มเลิกเมื่อไหร่ที่ท้อใจ หรือมีปัญหา ให้เอาป้ายเตือนความจำขึ้นมาดู แล้วจงมองหาความช่วยเหลือจากคนที่อยู่รอบๆตัวคุณ
สิ่งสุดท้ายที่อ. จะฝากเอาไว้ก็คือ...
ชีวิตเราๆเป็นผู้ลิขิต แม้เส้นทางจะขรุขระ หรือยากลำบากเพียงใด
ขอเพียงมีเป้าหมายและตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปโดยไม่หยุด...



ทำธุรกิจMLM แบบใหม่


      





                                          ทำธุรกิจMLM แบบใหม่
จากการทำธุรกิจที่ผ่านมา เริ่มจากปี 2553 ตัวดิฉันเองได้เข้ามาทำธุรกิจกับ HF ใช้วิธีการแบบเดิมๆ คือ คัดรายชื่อบุคคลที่เรารู้จัก และนำรายชื่อมาวิเคราะห์ หลังจากนั้นก็ทำการนัดหมายและเชิญให้เข้าสู่ธุรกิจ ไม่ว่าจะโดยวิธีการเข้าไปพบที่บ้านหรือเชิญให้มาที่บริษัท ตอนแรกๆก็รู้สึกคึกคักเพราะยังทำกับคนที่เรารู้จักและเกรงใจเราก็มีคนสมัครเยอะแยะมากมาย แต่ส่วนใหญ่สมัครแล้วก็ไม่ทำอะไร อ้างว่าไม่มีเวลา  ไม่มีเงิน   ไม่ชอบประชุม  ขายของไม่เป็นไม่รู้จักใคร  สินค้าแพงขายไม่ได้หรอก  สารพัดข้ออ้าง พอหมดคนรู้จักแล้วเริ่มสปอนเซอร์ใครไม่ได้ลงไปช่วยสายลึกก็อ้างแบบเดิมไม่รู้จะชวนใคร ก็เลยต้องออกชวนเองเหมือนเดิมแต่ยากขึ้นทุกทีๆ  ตัวดิฉันเองปัจจุบันมีทีมงานที่อยู่ใต้สายงานเกือบ พันรหัสแต่มีคนที่ตั้งใจทำเป็นธุรกิจ ไม่ถึง 10 คน และก็ไม่ได้เก่งอะไรด้วยเพียงแต่มีใจรัก และสินค้า HFสามารถแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคได้จริงก็เลยเกิดการใช้ดีแล้วบอกต่อแล้วเกิดเป็นเครือข่ายขึ้น ส่วนตัวดิฉันเองก็มีหน้าที่หิ้วตะกร้าสาธิตและอธิบายสรรพคุณสินค้าให้กับคนใหม่ฟังหลังจากนั้นก็ปิดการขาย ปิดการสปอนเซอร์ ก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างแต่ก็ต้องทำเพราะมีการสอนกันมาแบบนี้ บางครั้งคิดในใจว่าเมื่อไหร่เราจะสบายซักที ไหนใครบอกว่าทำเครือข่ายแล้วสามารถเกษียณอายุได้แต่ยิ่งทำไปนานๆก็ยิ่งไม่เห็นแววที่จะได้หยุด จำนวนสมาชิกใต้องค์กรเพิ่มขึ้น แต่แทนที่ยอดขายจะโตตามสมาชิกที่เกิดยอดขายกลับทรงตัว บางเดือนก็น้อยลงกว่าเดิม มันเกิดอะไรขึ้น พอมาวิเคราะห์ปรากฏว่าคนเก่าไม่มียอดซื้อมีแต่คนใหม่ที่ซื้อยอดขายก็เลยไม่โตเพราะของใหม่เกิดแต่ของเก่าตายจึงย้อนกลับมาที่ ตัวเราว่าเราบกพร่องตรงไหน จากการวิเคราะห์ตัวเองทำให้เรารู้ว่าเราทำทีมไม่เป็น สร้างผู้นำขึ้นมาให้เป็นตัวแทนเราไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดเราไม่มีความรู้ในเรื่อง MLM ที่ถูกต้อง เท่าที่ผ่านมาเราทำกันแบบที่ไม่เข้าใจ แต่เผอิญดิฉันโชคดีที่ได้เจออาจารย์ที่เก่งและพร้อมที่จะให้โดยไม่หวังผลใดๆทั้งสิ้นเป็นโค้ชแนะนำในเรื่องการทำธุรกิจทำให้ดิฉันได้รู้ว่าที่จริงแล้วการทำธุรกิจเครือข่ายไม่ได้มีเพียงแบบเดียวคือการขายสินค้า และชวนคนประชุมทั้งปี จนบางคนเห็นเราแล้วต้องหลบ หรือไม่ก็ไม่รับโทรศัพท์ บางรายหนักกว่านั้นเลิกคบกันไปเลย เฮ้อ! แต่ตอนนี้ดิฉันมีวิธีการทำงานแบบใหม่ที่เรียนมาจากอาจารย์หัสพงศ์  อึ้งศรีวงศ์ หรือ อาจารย์หยก  การทำMLM แบบใหม่เขาไม่ขายสินค้ากันแล้วแต่เขาขายแนวคิดและทำธุรกิจสมัยนี้เขาทำกันแบบ  ไม่ตื้อ  ไม่ง้อ  ไม่อ้อนวอน  ไม่ขอร้อง และทำได้ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ตอนนี้ดิฉันเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่คอร์สการเรียน กล่องสามใบ บันไดสามขั้น ซึ่งจะเปิดสอนเร็วๆนี้ถ้าเรียนแล้วดิฉันจะมาเล่าสู่กันฟังในตอนต่อไป  แต่ที่ผ่านมาดิฉันได้เอาเทคนิคการนำเสนอแบบขายแนวคิดเล็กๆน้อยๆที่อาจารย์สอนให้เป็นน้ำจิ้มมาใช้ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดีและทำให้เราเจอคนทำงานจริงๆแบบไม่ต้อง ขอร้องให้ทำเลยตอนนี้ดิฉันคิดว่าดิฉันได้เดินมาถูกทางแล้วโปรดติดตามตอนต่อไปกับ ความรู้ในกล่องสามใบบันไดสามขั้นต่อไป บ้าย บาย ค่ะ


และก็ได้ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ 


รางวัลนักพูดโมติเวทอันดับที่5
              วันแห่งการเรียนรู้เรื่องพื้นฐานของคนเก่ง
คนเก่งประกอบด้วย   พรแสวงหาความรู้  หมั่นฝึกฝน  พัฒนาไม่หยุด
วิธีคิดแบบคนเก่งมี7 แบบคือ คิดในการมองโลกในแง่ดี  มีศรัทธาในตัวเอง  ขอท้าคว้าฝัน  ค้นหาบุคลต้นแบบ  เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส  เรียนรู้จากความผิดพลาด  ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
ความคิดถึง  แบบของคนประสบความสำเร็จ
พื้นฐานความคิดถึง  ประกอบด้วย  ประสบการณ์    การศึกษา   สิ่งแวดล้อม 
ความคิดถึง 7 แบบที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ คือ ความคิดถึงอนาคต  ความคิดถึงเป้าหมาย  ความคิดถึงสิ่งที่ดีเลิศ  ความคิดถึงทางแก้ปัญหา  ความคิดถึงผลที่ได้รับ  ความคิดถึงความก้าวหน้า  ความคิดถึงการกระทำ
   
 วันแห่งการเรียนเรื่องกฎแห่งความสำเร็จของคนในMLM และ 7 วิธีของคนล้มเหลว
กฎข้อที่ 1 ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน หมายถึง ให้ใช้คุณธรรมนำธุรกิจ  ไม่หลอกลวงผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ตนเอง  ให้การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจ  ไม่หวังผลตอบแทนจนเกินไป
กฎข้อที่2 กำหนดเป้าหมายแต่ไม่จำกัดวิธีการทำ  หมายถึง ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ในเวลาที่กำหนด
กฎข้อที่ยอมรับปัญหาและหาวิธีแก้ไข หมายถึง การทำงานกับคนมีปัญหามากมาย การแก้ปัญหาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่าเสียเวลากล่าวโทษผู้อื่นหรือลงโทษตัวเองแล้วไม่คิดแก้ไข
กฎข้อที่4 รู้จักการให้อภัย หมายถึง  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเช่น ไม่มีลูกค้าซื้อสินค้า หรือทีมงาไม่ดำเนินธุรกิจต่อ  ไม่มีคนมาประชุม  รายได้น้อย ให้เริ่มต้นใหม่ทุกอย่างเสมอ
กฎข้อที่การประสบความสำเร็จกับทีมงาน MLM หมายถึงบทเรียนสำหรับคนต้องการทำงานเป็นผู้สำเร็จที่มีดาวไลน์เติบโตพร้อมๆกัน ได้เงินได้รถ ได้ท่องเที่ยว ได้บ้านไปด้วยกัน  ซี่งมีเคล็ดลับประสบความสำเร็จเร็ว  ช้อดังนี้   ก้อบปี้คนสำเร็จโดยไม่ต้องคิดมากทำตามระบบ  ตามอัพไลน์  
          ใช้เป้าหมายของคุณภายในเดือนนั้นๆสปอนเซอร์  โดยการเริ่มตั้งเป้าหมายว่าต้องการรายได้เท่าไรแล้าเชิญคนมาฟัง BUSSINESS MODELอย่ากลัวแม้ว่าจะมีรายได้น้อยแล้วสปอนเซอร์ใครไม่ได้
          ต้องหารายชื่อมาเติมใหม่ๆเสมอ  ต้องให้เขาบอกรายชื่อเพื่อนใหม่ตลอดเวลา  ควรใช้คำพูดว่า”พี่พอจะมีคนที่คิดว่าจะเหมาะกับที่จะทำธุรกิจนี้ไหม  แนะนำให้หน่อย พี่จะได้บุญมากๆเลยนะ เพราะถ้าเค้ารวยเขาจะกลับมาขอบคุณพี่มากๆ
          การเคลื่อนคนเข้างาน  โดยการใช้ระบบเป็นเครื่องมือ
1       วิธีการของคนล้มเหลว
บทเรียนนี้สำหรับคนมีปัญหาในการทำงาน ที่ชอบเอาอารมณ์ของความต้องการของตนเอง หรือที่เข้ามาสปอนเซอร์มาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจมองเห็นปัญหาแต่ไม่โทษตัวเอง
-          วิธีการโยนความผิดให้บริษัท
-          วิธีการเลือก อัพไลน์ ผิด เลือกทีมผิด ใครที่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แสดงว่าขาดความเชื่อมั่นในตัวเองต้องมีคนคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ จึงทำให้ทำอะไรไม่สำเร็จ                         
-          วิธีหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย  ในความเป็นจริงแล้วการทำMLM ในระยะแรกสมควรที่จะทำเป็นอาชีพเสริมคนส่วนใหญ่พอมีรายน้อยก็จะเลิกทำในที่สุด
-          วิธีอ้างเรื่องไม่มีเวลา  ใครที่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แสดงว่าใช้เวลาหมดไปกับการทำงานหรืออยู่กับครอบครัวโดยไม่รู้จักวิธีการบริหารเวลาต้องรู้จักการแบ่งเวลาให้เป็น
-          วิธีหาคนรู้จักไม่มีหรือมีคนรู้จักน้อย  จึงทำให้รู้สึกกลัว แต่จริงๆแล้วจำนวนคนมาจากการแตกเครือข่ายทวีคูรมาจากการทำงานเป็นทีม
-          วิธีหาเงินมาลงทุนไม่ได้         การทำธุรกิจหนีไม่พ้นเรื่องการลงทุน  การลงทุนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการวางแผนของธุรกิจ  การลงทุนมากหรือน้อยไม่ได้เกิดการได้เปรียบหรือเสียเปรียบแต่อย่างใด เพราะความจริงความสำเร็จเริ่มต้นจากแนวคิดบวกกับวิธีการทำการตลาดแบบใหม่
สรุป
คนที่จะสำเร็จหรือล้มเหลวต้องเจอปัญหานี้เหมือนกัน  เพียงแต่เขาหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ มองไกล คิดบวก และยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ ไม่ใช่คิดแต่ว่ามีปัญหาเลยไม่อยากทำ        
        
วันแห่งการทำลายกำแพงแห่งความกลัว

มนุษย์ทุกคนย่อมมีความกลัวที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งความกลัวเกิดจกความไม่รู้ความวิตกกังวล
ผลของกรที่เกิดความกลัว คือ ความหวาดหวั่น ไม่สบายใจ ตื่นกลัว กลุ้มใจ ไม่สบายใจ ไม่สงบ ความห่วงใย ความเป็นธุระ ความสงสัย ความประหวั่นพรั่นพรึง ความหงุดหงิด  อกสั่นขวัญหนี  ไม่เป็นสุขอึดอัดเป็นทุกข์  ระวังระไว ประสารทเสีย เป็นทุกข์  กระวนกระวาย ความประหม่าตื่นตกใจ น่ากลัว น่าสยดสยอง  น่าขยะแขยง  ความปวดร้าว
มนุษย์มีความรู้สึกกลัว 3 ประการ  คือ ฉันไม่ดีพอ  ทำให้กลัว  ไม่มีคนรักทำให้กลัว  ไม่มีใครให้เข้าพวกทำให้กลัว
สุดยอดของความกลัวในธุรกิจเครือข่ายคือ               กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวการถูกเบี้ยวนัดบ่อยๆ  การหารายชื่อผู้มุ่งหวังใหม่ๆยังไม่ได้
ธรรมชาติของคนเข้าธุรกิจใหม่ๆ  ชอบซื้อมากกว่าชอบขาย  ชอบงานประจำมากกว่างานชั่วคราว  อยกมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ทำงานน้อยลง
ปัญหาที่ทำให้คนในเครือข่ายกลัว  การหลอกลวง  การระดมทุน(มันนี่เกม)  แชร์ลูกโซ่
ศิลปะการแก้ความกลัวในธุรกิจเครือข่าย  มองสิ่งที่เขาอยากได้และขาดอยู่เสมอ  ให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายพูดก่อน  จงพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง  หัดพูดตอบรับดีกว่าปฏิเสธ  
คำปฏิเสธของคนในธุรกิจเครือข่าย  ไม่มีเงินและไม่มีเวลาให้  ไม่ต้องการความเสี่ยงมีอคติในด้านลบ               ไม่รู้วิธีการทำและไม่เข้าใจจริง
สาเหตุที่ทำให้ไม่สำเร็จและทำให้รู้สึกการเกิดความกลัว  คือ  ขาดความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ    ลงทุนกักตุนสินค้า (การฆ่าตัวตาย )  มีความไม่ต่อเนื่องของนักธุรกิจ  มีความท้อถอย          95%เกิดจากขาดความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจ
ความกลัวทางสังคมมนุษย์   กลัวความยากจน   กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์  กลัวสูญเสียความรักของใครบางคน  กลัวการเจ็บไข้ได้ป่วย  กลัวแก่ กลัวตาย        
วิธีการเอาชนะความกลัวในธุรกิจเครือข่าย  ศึกษาธุรกิจให้ละเอียดถี่ถ้วน      ลงมือทำให้ถูกต้อง    มีความจริงใจให้เสมอ
ต้องคิดเหมือนลูกค้าทำให้ลูกค้าเข้าใจ      สินค้าใดจะเสนอขายเราต้องใช้เอง     เน้นพูดสินค้าที่เรามีความชำนาญ
ฝึกถ่ายทอด ความรู้ทั้งหมดให้ทีมงานฟัง   คัดสรรทีมงานที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ  วางแผนชักชวนและสอนอย่างมีระบบ  สอนวิธีการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าที่ถูกต้อง  จัดเวลาเข้าฟังการอบรมอย่างต่อเนื่อง  ใจเย็นๆ อย่าโลภ  อย่าเลื่อนตำแหน่งเร็ว      ไม่ท้อแท้ง่ายต้องอดทน  มองอุปสรรคและปัญหาต่างๆเชิงบวก
การเอาชนะความกลัวด้วยการก้าวข้ามข้อจำกัดเพื่อปลดปล่อยศักยภาพ   ด้วยความกล้าด้านจิตใจ  ด้านความคิด  และด้านร่างกาย  เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้า  ความสงสัยให้เป็นความศรัทธา   ความไม่แน่ใจให้เป็นความเชื่อมั่น
ความสงสัยเกิดจากอะไร  เกิดจากความคิดเรื่อยเปื่อย  การจินตนาการ
ข้อสงสัยในธุรกิจเครือข่าย  ทำไมเขาถึงทำได้  เขาได้เงินแสนจริงเหรอ  เขาเชื่ออะไรจึงตัดสินใจได้  อย่างเราอีกนานไหมจะได้
วิธีแก้ข้อสงสัยในธุรกิจเครือข่าย  พุดคุยสอบถามผู้รู้  มีความเชื่อและศรัทธา  ได้ทำจริงและทำเป็น
อะไรทำให้เกิดความไม่มั่นใจ  รู้แต่ไม่จริงไม่เคารพไม่ศรัทธา  ไม่จริงใจไม่ยอมรับ  ผิดหวังล้มเหลวบ่อย
ความไม่มั่นใจมาจากไหน  มาจากการไม่เตรียมตัว  ไม่เชื่อการแนะนำที่ดี  ขาดการเอาใจใส่ข้อมูล  ไม่ยอมฝึกซ้อม
ความกลัวไม่ทำตามขั้นตอน  เห็นตัวอย่างล้มเหลว  ฟังคำแนะนำที่ผิด
คำพูดที่สร้างความไม่มั่นใจ  ไม่ชอบงานขายอยู่แบบนี้สบายดีแล้ว  อ่านรูปแบบบริษัทไม่ออก  โดนหลอกแน่ไม่มีทางรวย  พี่เคยลองมาแล้ว เอาเข้าจริงก็ขาดทุน  คุ้มจริงเหรอ   ทำได้จริงใครๆก็ทำหมดแล้ว
การสร้างความมั่นใจในธุรกิจเครือข่าย    ติดตามข่าวสารในธุรกิจ  พิสูจน์สิ่งที่รู้ด้วยตนเอง  สะสมความสำเร็จเป็นประจำ
สิ่งที่ต้องเข้าใจเพื่อสร้างความมั่นใจ  เป็นงานที่ต้องพบคน  เป็นงานที่ต้องถูกปฏิเสธเสมอ เป็นงานสถิติคือเป็นอัตราส่วนระหว่างความล้มเหลวกับความสำเร็จ  เป็นงานที่ต้องบังคับตัวเอง  เป็นงานที่ต้องบริการ  เป็นงานที่ต้องอาศัยทีมช่วย  เป็นงานที่ต้องลงทุนในเรื่องกำลังใจ  เป็นงานที่กำหนดชีวิตตัวองได้
การสร้างความมั่นใจ  มีเป้าหมายสำคัญแน่นอน   มีพลังการคิดบวก  มีแรงบันดาลใจ    มีความตั้งใจมุ่งมั่น
ทัศนคติในระบบMLM
ทัศนคติที่ 1
MLM เป็นการขายสินค้าไม่ใช่การเร่ขายสินค้า เป็นการใช้ดีแล้วบอกต่อ
ทัศนคติที่ 2
ระยะทางหมื่นลี้เริ่มจากก้าวแรกแต่ต้องมีประสิทธิภาพและถูกต้องไม่ต้องรีบร้อนสำเร็จ
ทัศนคติที่ 3
การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องปกติแน่นอนต้องมีคนไม่เห็นด้วย ชีวิตเราเลือกเองทำเองจึงเห็นผล
ทัศนคติที่ 4
การเป็นผู้ให้ได้แนะนำสินค้า หรือโอกาสทางธุรกิจให้แก่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงให้เขาได้ใช้สินค้าดี
ทัศนคติที่ 5
ความรู้เรายังด้อยต้องเร่งศึกษาเพราะมีความสำคัญมากทุกคนต้องให้ความสำคัญสนใจเรียนรู้จริงๆไม่ใช่แค่
รู้แล้วๆ
           วันแห่งการหาวิธีการสร้างรายได้
ทำอย่างไรให้สร้างรายได้ตามที่ต้องการ  ?
เราจะต้องมีเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จขั้นพื้นฐานเสียก่อนซึ่งมีองค์ประกอบหลักอยู่ 4 องค์ประกอบคือ
1              ตัดสินใจเรียนรู้ระบบการทำงาน โดยเรียนรู้จาก
-หาโค้ช
-ให้เรียนรู้จากคนสำเร็จเท่านั้นและทำตัวเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่าเสมอ
-สิ่งสำคัญที่สุดในระบบเครือข่ายคือหาคานผ่อนแรง ตัวเราและทีมงานต้องทำความเข้าใจในระบบ Network ที่เป็นมืออาชีพ 100%  ไม่ใช่เป็นระบบขายตรงทั่วไป
-เริ่มเรียนรู้ลงมือทำทันที  สิ่งสำคัญลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ  มีวินัย
                2      ตั้งเป้าในการ ประสบความสำเร็จ
                          -ง่ายมากเพียงแค่คุณ  โฟกัสไปที่ตำแหน่งให้ได้
                                   จุดเริ่มต้นของตำแหน่ง……………………….. เพียงท่านมองหาคนที่เชื่อในตัวเราเพียง…………….
                                     คน เท่านั้น
                 3          ช่วยทีมงานให้ทำเหมือนเราทุกคน    ถ้าทำทุกคนสำเร็จ
                 4          ตัวเราเองต้องมีภาวะ การเป็นผู้นำ และสอนทีมงานให้เป็นผู้นำเหมือนเรา
                            -หลักสูตรหนึ่งที่เป็นสากล ที่มาจากปัจจัยภายใน(ตัวเราเอง) ว่าทำอย่างไรให้มีรายได้ที่ดีใน
                            ธุรกิจระบบNetwork คือภาวการณ์เป็นผู้นำพื้นฐาน (วิตามิน A+B+C+D)
                                  วิตามินคือ   Attitude  ทัศนคติบวก    “การคิดบวก คิอจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ”
                                  วิตามิน คือ  Believe   คือความเชื่อ    “ความเชื่อคือการปราศจากความสงสัย
                                  วิตามิน C คือ   Commitment   พันธะสัญญา  ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะจะทำให้
                                           ไม่เลิกธุรกิจนี้ไปง่ายๆ  โดยพยายามปลูกฝังทีมงานให้มีเหมือนเราและจะทำให้เกิด                             
                                           ความรักใน องค์กร
                                  วิตามิน  คือ  Desirous   คือความปรารถนา ความทะเยอทะยาน  เป็นสิ่งที่ควบคู่กับ                   
                                        มนุษย์ มาตั้งแต่เกิด  ถ้าใครมีสิ่งนี้จะไม่ล้มเลิกเป้าหมายได้เลย
                                       ถ้าคุณมีองค์ประกอบครบดังที่กล่าวมานี้คุณจะมีรายได้ตามที่คุณต้องการ  ชัวร์ค่ะ
วันแห่งการเรียนรู้ถึงหัวใจของMLM
      อะไรคือความจริงที่ต้องขายในธุรกิจ?   แน่นอนไม่ใช่บริษัท  ไม่ใช่สินค้า  ไม่ใช่แผน แต่เป็นการสปอนเซอร์ได้    และการสปอนเซอร์ได้โดยการใช้ระบบหรือทางแก้ปัญหาให้เขาได้   การหาวิธีการเพื่อให้ประสบผลสำเร็จเพาะต้องการหนีจากความเจ็บปวดและวิ่งเข้าหาความสุข  การที่เข้ามาในธุรกิจ MLM ก็เพราะตัวเราเองอยากสำเร็จ
MLM ……is  Must  Learning  More     หายการเรียนรู้ที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ
นักธุรกิจที่เก่งใน  MLM คือ มีประสบการณ์มาก  เก่งมาก  เข้าใจมาก และสำเร็จมาก  
นักธุรกิจที่เก่งใน  MLM ต้องเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มองไปข้างหน้าเสมอ  คิดแต่เรื่องดี   ทำเต็มความสามารถ
 รูปแบบการเปิดธุรกิจ MLM  เป็นแบบ  2:1  กับ UL   1:1  กับตัวเอง   2:1  กับ  DL
เมื่อมีการสปอนเซอร์ได้ จะต้องเริ่มตันการติดตามผล โดยที่ต้องทำ
1       นัดต่อให้ไว
2       นัดเคลียร์เพื่อเคลียแนวคิด (สิ่งที่ค้างในใจ
3       เพื่อวางเป้าหมายสร้างเงื่อนไข
4       ถามจริงๆว่าคิดยังไงกับธุรกิจนี้
5       ขยายฝันเพื่อให้มั่นใจว่าทำได้
6       ให้เงื่อนไขในการประสบความสำเร็จ
เงื่อนไขในการประสบความสำเร็จ
-ยอมเหนื่อยมากขึ้น
-ต้องแบ่งเวลามาเรียนรู้ที่ Center ทุกสัปดาห์
-เข้าใจในงานต่างๆของกลุ่ม
-เจอกับเราบ่อยมากขึ้น (นอกรอบ )
-มีเราโทรไปหาบ่อยขึ้น
-ลงมือทำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
-นัดประเมินผลตามช่วงระยะเวลา
-ตัวเราต้องมีความตั้งใจ
เทคนิคการเริ่มต้นธุรกิจอย่างมืออาชีพ    คือ  การสมัครธุรกิจ  ใช้สินค้าที่ชอบ  มาเรียนรู้  กำหนดเป้าหายให้ชัดเจน
ทำบัญชีรายชื่อ และวางแผน  นัดหมายและทาบทาม  สปอนเซอร์  ติดตาม  พาคนเข้าระบบ
วันที่ประสบความสำเร็จ
      วันนี้เป็นวันที่ทำงานบรรลุตามที่เราตั้งเป้าหมายไว้คือเป็นวันที่เราสามารถปิดการสปอนเซอร์บุคคลผู้หนึ่งได้ซึ่งเป็นคนที่ถ้าปิดคนนี้ได้แสดงว่าเขามั่นใจในตัวเราเพราะเขาเป็นบอร์ดผู้บริหารของบริษัทขายตรงอีกค่ายหนึ่งแต่โดยส่วนตัวแล้วสมัยก่อนเขาเป็นผู้แนะนำในบริษัทขายตรงอีกค่ายหนึ่งหลังจากไม่ประสบผลสำเร็จในค่ายนี้เราต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปตาหาความฝันกันคนละค่ายผ่านมา 1 ปี เราเติบโตกับบริษัทที่เราทำอยู่แล้วนำความสำเร็จนี้ไปบอกเขา และเราก็เริ่มต้นการสปอนเซอร์ใหม่โดยไม่มีการพูดถึงสินค้า แต่เป็นการเปิดใจด้วยการขายแนวคิดและวิธีการทำงานซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่เราไปชวนเขาครั้งแรกเป็นการเปิดเรื่องสินค้าก่อนปรากฏว่าไม่ได้ผลแถมมีการถกเถียงกันอีกว่าของใครดีกว่ากันครั้งนั้นเลยไม่สำเร็จ  แต่พอมาครั้งนี้ใข้เวลาไม่ถึงชั่วโมงกลับปิดการสปอนเซอร์ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเสียอีก นี่แหละ MLM  แบบใหม่