วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิธีคิด … อย่างคนเก่งในธุรกิจขายตรง

คิดอย่างไรในธุรกิจนี้ วิธีคิด อย่างคนเก่งในธุรกิจขายตรง MLM  “มนุษย์ต่างกันตรงรายละเอียดความคิดสาเหตุเพราะ
มนุษย์เกิดในสิ่งแวดล้อมต่างกัน ฐานะต่างกัน ขนบธรรมเนียมต่างกัน พื้นฐานการศึกษา แตกต่างกัน ทำให้เกิดความคิด
และทัศนคติที่แตกต่างกัน ความคิดที่แตกต่างกันส่งผลในระยะยาวให้เกิดคนเก่งคนไม่เก่งคนรวย คนปานกลาง และคนจนในสังคม ดวงอาจจะมีส่วนบ้างสัก 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ความคิดมีส่วนถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น หากเราคิดเป็น คิดอย่างคนเก่งเป็นโอกาสสำเร็จในชีวิตก็มีสูงมาก ถึงแม้ดวงดีผสมกับคิดเป็นเราก็จะประสบความสำเร็จอย่างสูงส่งเหนือคนทั่ว ๆ ไป

คนเก่งเขามีวิธีคิดอย่างไร ? ลองดูความคิดของผู้อื่นอาจจะนำไปใช้พัฒนาตัวของเราเองได้บ้าง เพราะว่าบางคนอาจจะคิดเป็นช้าบางคนอาจจะคิดได้เร็วหรือบางคนอาจจะคิดอะไรไม่ค่อยออก วิธีคิดที่ดี ๆ นั้น หากลองไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนา หรือจุดประกายความคิดของเรา เชื่อได้เลยว่าอนาคตเราก็ต้องเป็นคนเก่งได้ ไม่ต้องอาศัยกรรมพันธุ์เลย ความสำเร็จในระดับสูงสุด ในบริษัทที่เป็นผู้จัดจำหน่ายอิสระอยู่นั้น ไม่ไกลเกินฝัน วิธีคิดอย่างคนเก่งในธุรกิจขายตรงระบบ MLM
1.ค้นหาผู้สำเร็จเป็นต้นแบบ
ใครก็ได้ในธุรกิจที่เราทำอยู่เราชื่นชมศรัทธายอมรับเขาศึกษาแนวคิดวิธีการทำงานของเขาจุดเด่นในตัวเขาเผื่อเราจะได้เลียนแบบ นำมาปรับใช้กับการทำงานของเรา จะได้สำเร็จเหมือนเขาบ้าง หากเป็นไปได้ ! ทำความรู้จัก
ตีสนิท ยกย่องเขาอย่างจริงใจ เมื่อมีโอกาสได้คุยกัน และอย่าลืมขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เพื่อขอคำแนะนำ หรือง่าย ๆ คือยกให้เขาเป็นกุนซือของเราเสียเลย
2.ต้องมีศรัทธาในตัวเอง
ปกติมนุษย์เมื่อถูกผู้อื่นดูถูกจะรู้สึกโกรธหรือเกลียดผู้นั้น เมื่อผู้อื่นดูถูกเราโกรธ แล้วเวลาเราดูถูกตัวเองว่า
ทำไม่ได้ เราไม่เก่ง เราพูดไม่เป็น ฯลฯเราทำไมไม่โกรธตัวเองบ้างล่ะ ถ้าเราไม่ศรัทธา และเชื่อมั่นตัวเองว่าเราทำได้ แล้วมนุษย์หน้าไหนจะเชื่อมั่นเรา ? วันนี้เราอาจจะยังไม่เก่ง ! เป็นเพราะเรายังไม่ได้ลงมือลองทำ
ยังไม่ได้เรียนรู้สม่ำเสมอต่างหาก ยังไม่มีประสบการณ์ต่างหาก ถ้าอยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชม และทึ่งในตัวเรา
ก็จงศรัทธาและมั่นใจตัวเองเสียก่อนเลิกดูถูกตัวเอง 
3.มีความคิดหลายมิติ
บางคนอาจมีความคิดในทางบวก กับเรื่องบางเรื่องและมีความคิดทางลบ กับเรื่องบางเรื่องเพราะมุ่งคิดอยู่ด้านเดียวหรือมิติเดียวเท่านั้น ! แต่ความเป็นจริงของธรรมชาติจะมีอย่างน้อย 2 มิติเสมอ เช่น มีดำมีขาว มีกลางวัน  - กลางคืน มีชาย มีหญิง หรือบางเรื่องจะมีมากกว่า 2 มิติก็ได้ พยายามมองให้กว้างขึ้น ๆ ๆ จะได้มีความคิดแตกฉาน มีข้อมูลมากขึ้น เช่น การทำธุรกิจ MLM อย่ากลัวว่าเราจะล้มเหลวกลัวไม่สำเร็จหรือกลัวจะเสียเวลาฟรี ๆ เราทุกคนไม่อาจล่วงรู้อนาคตเราอาจจะสำเร็จก็ได้ หรือหากล้มเหลวในอนาคต เราจะได้อะไรจากการล้มเหลว เช่น ได้เพื่อนมากขึ้น ได้ประสบการณ์ของชีวิตเพิ่มขึ้น พยายามคิดหลายมิติให้ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปเกินไป 
4.กล้าท้าทายความฝัน
ความฝันก็คือ ความหวังความหวังทำให้ชีวิตเกิดความกระตือรือร้น เกิดพลัง เกิดความมุ่งมั่น เกิดความกระหาย
ที่จะไปถึงความฝันนั้น การสร้างความกล้าท้าทายความฝัน จะเป็นแรงผลักดัน ที่จะทำให้เราสานฝันสู่ความจริงได้
ธุรกิจ MLM เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เพิ่มเพิ่มจนไร้ขีดจำกัด จนคนที่ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง ไม่เชื่อว่าจะมีรายได้มากขนาดนั้น ไม่เชื่อว่าเป็นจริง เราอาจจะไม่มีเวลาทำธุรกิจ MLM เป็นเพราะเราใช้เวลาทำงานเดิมจนหมดทั้ง ๆ ที่งานนั้น
ตลอดชั่วชีวิตก็ไม่มีโอกาสรวย หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ลองตั้งใจแบ่งเวลาสัดส่วนไม่ต้องมาก มาลองทำงานที่มีโอกาสรวยบ้าง ฝันจะได้เป็นจริงเสียที 
5.ความผิดพลาดไม่ใช่จะล้มเหลว

งานขายตรงระบบ MLM นั้น เมื่อเริ่มทำงานใหม่ ๆ จะเกิดการทำงานทิ่ผิดพลาดบ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง แต่เป็นงานใหม่ของเรา ซึ่งเราเองยังไม่ชำนาญต่างหาก ยังไม่ชำนาญในการชักจูงคนเข้าร่วมธุรกิจ จึงพบแต่การปฏิเสธยังไม่ชำนาญในการนำเสนอสินค้า ยังไม่ชำนาญในการทำงานร่วมกับแม่ทีม และลูกทีม เวลาจะช่วยแก้ไขให้ท่านผิดพลาดน้อยลง เพียงแต่ท่านอย่าล้มเลิกกลางคัน แต่พยายามเรียนรู้จากความผิดพลาด เปิดใจกว้างยอมรับความจริง หันมาทบทวนว่า ! ขั้นตอนไหนผิดพลาดไป เพื่อจะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม ความคิดเหล่านี้เป็นเหมือนเสาหลักที่ค้ำให้มนุษย์เก่งขึ้น หากท่านเริ่มปรับเปลี่ยนความคิด ให้คล้าย ๆ คนเก่ง ๆ ในธุรกิจ  MLM เราก็จะเริ่มเก่งขึ้น ๆ ๆ ๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียง 3-4 ปี ท่านจะพบว่าผู้อื่นที่เข้ามาสู่ธุรกิจ  MLM ใหม่ ๆ มองเราเป็นคนเก่ง ทึ่งในตัวเรา ที่เราทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ ดังภาษิตที่ยินบ่อย ๆ ว่า …“เมื่อเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไป “ 

ทำอย่างไร? จะเอาชนะอุปสรรค ในชีวิตของเราได้
1.ต้องมีความฝันและจินตนาการที่ดีเข้าไว้ ชีวิต ถ้าขาดความฝันก็แห้งแล้ง เราต้องฝันว่า เรามีหนทางชนะอุปสรรค ความฝันที่ดีเหล่านี้จะทำให้เราเกิดกำลังใจ และอยากทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป

2.ต้องคิดว่าทุกอย่างมีความเป็นไปได้ พุทธศาสนาสอนว่า ทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง คือไม่แน่นอน ฉะนั้นความเป็นไปไม่ได้ ชีวิตคุณมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งนั้นจงเลิกพูดคำของคนที่เกิดมาเพื่อจะแพ้ และแพ้ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มลงมือทำเสียอีก

3.อย่าคิดถึงปมด้วยของตัวเอง เพราะ การนึกถึงปมด้วยของตัวเอง จะเป็นตัวฉุดให้คุณหยุดทำกิจกรรมที่สร้างสรร เราจะขาดความกล้าหาญ ขาดพลังจงคิดว่าปมด้วยเป็นความปกติของชีวิตเราไม่ได้ แตกต่างและไม่ได้ด้อยกว่าใครๆ ไม่เป็นคนสมบูรณ์แบบหรอก และไม่มีใครที่ไม่มีความบกพร่องเลยเช่นกัน

4.ต้องปลุกความกล้าให้เกิดขึ้นเสมอ จง ลดความกลัวเหตุการณ์หรือผู้คนต่างๆ เสีย แล้ว บอกกับตัวเองว่าคุณเป็นคนกล้าหาญ จงหัดปฏิเสธความกลัวบ่อยๆและบอกกับตัวเองว่าคุณกล้ามากขึ้นๆ ความกลัวต่างๆ จะจางไปจากตัวคุณเอง

5.จงมองจุดดีหรือจุดเด่นของตัวเองให้พบและเลิกดูถูกตัวเองเสียที คนเรามีทั้งดีและ ไม่ดีถ้าเราคอยจับผิดตัวเอง มองแต่สิ่งที่คิดว่าไม่ดี เราก็จะมองเห็น

6.มีความรักเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น ให้ลดความเกลียดชังหรือความโกรธเพื่อนมนุษย์ เพราะถ้าเรายิ่งเกลียดและโกรธ เท่ากับเราสร้างศัตรูขึ้นทุกวันๆและมากขึ้นๆ ตามจำนวนความเกลียดและความโกรธของเรา ถ้าเราเข้าใจและยอมรับในความบกพร่องของเพื่อนมนุษย์ ที่ มีสาเหตุมาจากสันดานดิบของแต่ละคนที่หลงเหลืออยู่ ร่วมกับความไม่รู้ของแต่ละคนซึ่งมีกันทุกคน เราก็จะโกรธเขาน้อยลง และจะยอมรับเขาได้มากขึ้นว่า เขาจะมีความทุกข์จากสิ่งบกพร่องของเขานั่นเอง อย่า ให้ความบกพร่องของเขามาทำลายความสุขของชีวิตเราเลยเราจะให้อภัยเขาได้ เพราะเข้าใจถึงความบกพร่องของเขาได้แล้ว แค่นี้ ก็ถื่อว่าเรามีความรักให้เพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้นแล้ว

7.มีทัศนคติที่ดีต่อโลกและชีวิต อย่ามองโลกในแง่ความจริงทั้งหมด เพราะชีวิตจะแห้งแล้ง จงมีความเชื่อที่ดี จงมีความหวังที่ดี และจงมีความรักที่ดี ทั้ง 3 ตัวนี้จะทำให้เรามีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต ทั้งของตัวเองและคนอื่น จะทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

8.ถ่อมตน อย่าหยิ่งหรือจองหอง ความถ่อมตนจะทำให้เกิดสติปัญญา ความถ่อมตนจะทำให้เราไม่เหลิงถ้าเราเป็นผู้ชนะ และความถ่อมตนจะทำให้เราไม่เจ็บปวดมากถ้าเราเป็นผู้แพ้

9.หมั่นศึกษาและเลียนแบบบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใน รูปแบบต่าง ๆ ทั้งโดยการอ่าน การฟัง หรือ การไต่ถาม ประสบการณ์ชีวิตของคนเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมามากมาย ถ้าเราได้ศึกษา เราจะเกิดกำลังใจ และอยากเลียนแบบอย่าง

หากเรามีแนวคิดดังที่กล่าวมา แล้วนี้ และเริ่มลงมือปฏิบัติตาม อ.เชื่อว่า อุปสรรคทั้งหลายในชีวิตก็จะน้อยลง เพราะเราจะเกิดพลัง กำลังใจ สติ ปัญญา ความกล้าหาญ และกล้าลงมือกระทำสิ่งที่สร้างสรรค์ มีความเชื่อ ความหวังที่ดีในชีวิตมากขึ้น ศัตรูก็น้อยลง มีมิตรมากขึ้น ชีวิตมีความสุขและความสำเร็จมากขึ้น แม้ บางครั้งถ้าเราไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคได้จริงๆ แต่เราก็จะมองข้ามไปและรอคอยโอกาสใหม่ด้วยจิตใจที่มองโลกในแง่ดี ไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ผิดหวังจริงๆมากมายนัก พร้อมจะเกิดกำลังใจใหม่และมีพลังเริ่มชีวิตใหม่ ซึ่งเท่ากับคุณเป็นผู้ชนะอุปสรรคนั้นนั่นเอง ดิฉันขอเป็นพลังกาย พลังใจ พลังแห่งความสำเร็จให้กับ

แนวทางการพัฒนาทีมงานให้เติบโต

คนส่วนใหญ่เมื่อได้รับการชักชวนและทำให้เห็นโอกาสนอธุรกิจ MLM ในระยะแรก จะเกิดความหวังในชีวิตมีความกระตือรือร้น ส่วนหนึ่งจะเริ่มซื้อสินค้า แนะนำสินค้า ชักชวนคนรู้จักเข้าร่วมธุรกิจ หลังจากทำงานได้ระยะหนึ่งปรากฏว่า! ทีมงานของตนสมัครแล้วไม่ลงมือทำ
หรือทำระยะสั้น ๆ แล้วก็เลิกไป คนแล้วคนเล่าก็เลิกไป ติดตามเท่าไรก็ปฏิเสธ ?!? แม้กระทั่งคนที่สนิทกันก็ไม่เว้น !
ความท้อแท้ความเหนื่อยหน่ายก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ สุดท้ายตัวเองก็ล้มเลิกความตั้งใจในธุรกิจนี้ แต่ในธุรกิจ MLM ก็มีผู้ประสบความสำเร็จ เกิดขึ้นมาตลอดเวลา ผู้ประสบความสำเร็จเหล่านั้น ก็พบปัญหาเหล่านี้เช่นกัน เขาเหล่านั้นแก้ปัญหานี้อย่างไร ? ถึงฟันฝ่าอุปสรรค ! จนประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้ ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาทีมงาน ผมจะแบ่งออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 
1. แนวคิดหรือทัศนคติต่ออาชีพ MLM มนุษย์มีอวัยวะใกล้เคียงกัน ความสามารถใกล้เคียงกัน แต่แตกต่างกันที่รายละเอียดความคิด ความคิดจะพาตัวเราไปสู่อนาคต ถ้ามีความคิดถูกต้อง…“อนาคตก็สำเร็จถ้าหากความคิดไม่ถูกต้องอนาคตมีโอกาสล้มเหลวได้สูง”  ถึงแม้คนนั้นจะเป็นคนเก่งหรือ คนอดทนก็ตาม เปรียบเสมือนรถยนต์ 2 คัน
คันแรกเครื่องยนต์ 1500 cc
คันที่ 2 เครื่องยนต์ 3000 cc
ถ้ารถคันแรกจูนเครื่องยนต์ได้ดี ก็จะวิ่งได้เร็ว ขณะที่คันที่สอง ซึ่งมีเครื่องยนต์แรงกว่า หากจูนเครื่องผิด
ก็จะวิ่งได้ช้ากว่า หรือวิ่งไม่ออก เสียระหว่างทางได้ แต่ถ้ารถยนต์คันที่สอง จูนเครื่องใหม่ได้ถูกต้อง ก็จะวิ่งต่อได้ และอาจจะแซงรถคันแรกได้ เนื่องจากมีเครื่องยนต์ที่แรงกว่า
มนุษย์ก็เช่นกัน บางคนมีความสามารถสูงแต่มีปัญหาทางเศรษฐกิจตลอดเวลา ในขณะที่บางคนมีความสามารถต่ำกลับมีชีวิตชีวาที่ดีกว่า สาเหตุเกิดจากการจูนความคิดเท่านั้นเอง ตั้งเครื่องผิดก็ตั้งเครื่องใหม่ ถ้าจูนความคิดผิดก็จูนความคิดใหม่   ถ้าท่านเป็นแม่ทีมที่มีความคิดผิด ๆ เมื่อท่านถ่ายทอดความรู้
เพื่อพัฒนาทีมงาน ทีมงานก็จะได้รับความคิดผิด ๆ ไปด้วย องค์กรของท่านก็จะไม่เติบโต ดั่งคำที่ว่า
กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ไม่ต้องพูดถึงบางตัวอย่างความคิดหรือทัศนคติที่มีต่อ MLM
ธุรกิจ MLM เราตั้งใจทำงานเป็นงานเสริมหรืองานหลัก!
 ถ้าตอบว่างานเสริมท่านจะไม่มุ่งมั่นทำ เพราะไม่เห็นความสำคัญ แต่ในส่วนของคนที่ประสบความสำเร็จจะตอบว่าเป็นงานหลักในอนาคต เพราะผลตอบแทนสูงกว่า สูงจนยึดเป็นอาชีพได้ในวันข้างหน้า ธุรกิจขายตรง MLM ทำยาก เพราะมีคนสำเร็จน้อย ล้มเหลวมากใช่หรือไม่ ? บางคนคิดว่าใช่ ! เพราะดูเชิงสถิติเท่านั้น แต่คนจะประสบความสำเร็จนั้นจะคิดว่ามีคนสมัครมาก แต่ลงมือเรียนรู้ลงมือทำจริงมีน้อย คนสำเร็จจึงน้อยตามสัดส่วน ลองทำดู 3 เดือน แล้วได้รายได้น้อย ! ไม่น่าคุ้ม ไม่นำทำต่อไป ! จึงล้มเลิก ความคิดนี้ก็ไม่ถูก เพราะการทำธุรกิจ MLM นั้น เป็นการลงทุนที่ต้องกำหนดระยะเวลา อย่างน้อยเป็นปี ถึงจะมีรายได้ที่ดีมาก คนประสบความสำเร็จจะเตรียมใจว่าจะทำ 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปี หากไม่ดีขึ้นถึงเลิกจะไม่หยุดกลางคัน และเขาก็จะประสบความสำเร็จ หลังจากผ่านไป 1 ปีหรือ 2 ปี ฯลฯ
 2.เข้าใจธรรมชาติของสมาชิกในทีมงาน ทีมงานที่ชักชวนกันเข้ามาต่อ ๆ กันไปนั้น ตามธรรมชาติของมนุษย์
จะมีความคิดต่างกัน การกระทำก็จะแตกต่างกัน เมื่อผ่านไประยะหนึ่งจะเริ่มมองเห็นมองเห็นเป็น 3 กลุ่มชัดเจนคือ
. กลุ่มที่มุ่งมั่นทำเป็นธุรกิจ กลุ่มนี้จะมีการขยายเครือข่าย ซึ่งจะมีอยู่น้อยที่สุดประมาณ 10%

. กลุ่มที่ลองซื้อสินค้ากล้า ๆ กลัว ๆ อยากทำ  แต่ไม่มั่นใจในบริษัท หรือไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ มีอยู่ประมาณ 20%

. กลุ่มที่สมัครแล้วไม่สนใจทำ ซึ่งมีสาเหตุหรือข้อเสียมากมาย มีอยู่ถึง 70% ถ้าท่านคอยสังเกต ! จะเห็นธรรมชาติข้อนี้ อย่าฝืนธรรมทชาติในระยะแรก ให้ติดตาม
กลุ่ม ก. เข้ามาเรียนรู้ และคอยให้กำลังใจต่อเนื่อง กลุ่มนี้จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนกลุ่ม ข. ต้องคอยปรับทัศนคติ และแนวคิด พร้อมทั้งการติดตามที่ต่อเนื่อง เพราะในอนาคตก็จะกลายเป็นกลุ่ม ก. ได้บางส่วน ส่วนกลุ่ม ค. ไม่ต้องเน้นการติดตามมากแต่คอยแจ้งข่าวสารของท่านถึงความก้าวหน้าของบริษัท และตัวท่านเองเป็นระยะ ๆ อนาคตระยะยาว คนที่สนิทสนมกับท่านมาก ๆ ซึ่งอยู่ในกลุ่มนี้ก็มีโอกาสมาร่วมงาน เนื่องจากเขาเห็นตัวอย่างจากท่าน
 3.แสดงความเป็นผู้นำที่ดีตลอดเวลา มนุษย์ทั่วไปอาจจะไม่ใช่คนดี แต่ต้องการเพื่อนร่วมงานที่ดี หรือผู้นำที่ดี
เงินอาจจะผูกใจคนได้ในบางโอกาส แต่การปฏิบัติต่อทีมงานที่ดี จะผูกใจได้ตลอดกาล บางครั้งทีมงานบางส่วนอาจจะไม่ดี เห็นแก่ตัว สิ่งหนึ่งที่ต้องพึงจารึกไว้ในใจเราคืออย่าทะเลาะกับคนที่ช่วยหรือร่วมทำมาหากินกับเรา
เราอาจไม่ได้เสียลูกทีมคนนั้นคนเดียวแต่เสียกลุ่มงานนั้นทั้งกลุ่มเลยก็เป็นไปได้ ธุรกิจเครือข่ายเปรียบเสมือนเกมกีฬา
เรียกว่ากีฬาสมาธิ
 4. เรียนรู้ตลอดเวลา รู้เพิ่มขึ้นในธุรกิจนี้ตลอด ผู้นำทีมงานหลายคน เมื่อทำงานกันได้ระยะหนึ่ง ปรากฏว่าลูกทีมที่เคยนับถือกลับไม่นับถือ ไปนับถือแม่ทีมระดับสูง หรือแม่ทีมสายงานอื่นแทน เพราะเมื่อเขาเริ่มเป็นผู้จัดจำหน่ายใหม่ ๆ
เขาไม่มีความรู้ เมื่อทำงานไประยะหนึ่ง ก็จะมีความรู้เพิ่ม และเริ่มมากกว่าแม่ทีมที่ไม่เรียนรู้เพิ่ม ศรัทธาที่มีจึงค่อย ๆ ลดไป จึงต้องหมั่นเรียนรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา อย่าหยุดนิ่ง ! เพราะ น้ำนิ่งคือน้ำเน่า!
 5.การให้เกียรติและยอมรับความสามารถของทีมงาน ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่ทำคนเดียวไม่สำเร็จ
เราไม่ได้เก่งที่สุดในโลกเป็นสัจธรรม! ทีมงานเรามากมาย มีความสามารถสูงกว่าเรา เพียงแต่เขาเข้ามาในธุรกิจหลังเราเท่านั้น มิใช่เขาไม่เก่ง”  แต่เขายังไม่ได้เรียนรู้งาน MLM ต่างหาก เมื่อเขาเรียนรู้เขาเข้าใจก็จะกลายเป็นทีมงานหลักของเรา จะต้องให้เกียรติ และยอมรับเขาด้วย ในธุรกิจเครือข่าย
ผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นคือผู้ที่มีทีมงานเก่ง ๆ อยู่เป็นจำนวนมากต่างหาก เราอาจไม่เก่ง แต่เป็น นักจัดการสร้างสิ่งแวดล้อมทุกด้าน เพื่อพัฒนาทีมงาน เราถึงจะประสบความสำเร็จที่แท้จริงในธุรกิจนี้ แนวทางในการพัฒนาทีมงานให้เติบโตยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยปัจจัยเหล่านี้ ผนวกกับการฝึกอบรมที่บริษัทจัดขึ้นอยู่แล้วถึงจะได้ผลสมบูรณ์

ผู้คนในสังคมแบ่งได้เป็น  5 กลุ่มดังนี้ 


คนจนมาก 
คนจน
คนชั้นกลาง 
คนรวย 
และคนรวยมากหรือมหาเศรษฐี 
แต่ละกลุ่มก็จะคิดเรื่องเงินไม่เหมือนกัน  คนที่จนมากคิดเพียงว่าจะมีไรกินวันต่อวัน  คนจนจะคิดเรื่องปากท้องเป็นรายอาทิตย์  คนชั้นกลางจะเริ่มมองเป็นรายเดือน  คนรวยเริ่มมองไกลเป็นรายปี  และคนรวยระดับมหาเศรษฐีก็จะดีดลูกคิดกันในระดับทศวรรษหรือเป็นสิบปี
ทั้ง  5 กลุ่มนี้สามารถแบ่งตามเป้าหมายสำคัญที่สุดที่แต่ละกลุ่มมุ่งหวังได้อีกดังนี้
เป้าหมายสำคัญของกลุ่มคนที่จนและจนสุดๆ คือ ความอยู่รอด  ส่วนคนชั้นกลางก็มุ่งหวังความสะดวกสบายเป็นหลัก  แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มคนรวยและรวยมากๆ  คือ อิสรภาพ เหตุผล ที่กลุ่มจนและจนมากจะมุ่งหวังเพื่อความอยู่รอดและคนชั้นกลางมองหาความสะดวก สบายนั้นก็เพราะพวกเขามีแนวคิดหรือความเชื่อเรื่องความขาดแคลน  พวกเขาเชื่อว่า  เงินในโลกนี้ มีไม่พอแบ่งให้ทุกคนได้รวยจนเกินพอ  ผิดกับกลุ่มคนรวยถึงรวยมากๆที่รู้ความจริงว่า  เงินนั้นมีมากพอสำหรับทุกคน ให้ได้ร่ำรวยจนเหลือกินเหลือใช้เสียอีก  ความเชื่อหรือทัศนคติของเราเกี่ยวกับเงินนี่ละ  ที่มีบทบาทเต็มๆ ต่อคำถามว่าเราต้องการหาเงินเท่าไร  ถ้าเรามีความเชื่อเรื่องขาดแคลน  เราก็จะคิดเพียงการหาเงินเพื่อยังชีพไปวันๆ  หรือให้ชีวิตพอมีความสะดวกสบายบ้าง  แต่ถ้าเรามีความเชื่อว่าทุกอย่างยังมีพอ  เราจะมองหาอิสรภาพ
คำพูดเกาแก่ที่ว่า จงค้นหา แล้วท่านจะค้นพบ นั้นเป็นความจริงแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเงิน เราจะได้รับสิ่งที่แสวงหาในชีวิตแน่นอน ถ้าเรามองหาเพียงการอยู่รอดก็จะรอด ถ้าเราค้นหาความสะดวกสบายก็จะได้มัน ถ้าหากว่าเส้นชัยของเราคือ อิสรภาพเราจะไปถึงแน่นอน
การมองทุกอย่างในระยะยาว  หรือมองการณ์ไกล มีพลังมาก  มันจะทำให้เรารวยได้ทีเดียวถ้าเราฝึกเป็นนิสัย ลองมองลึกลงไปในกลุ่มคนแต่ละกลุ่ม การคิดเพียงวันต่อวัน  อย่างที่คนจนคิด  จะพาเราไปพบผู้ใช้แรงงานแลกค้าจ้างรายวัน  หรือขอทานข้างถนน  ซึ่งมักมีรายได้น้อยกว่า  10,000 บาทต่อปี คนที่คิดสัปดาห์ต่อสัปดาห์คือ กลุ่มคนจนที่ได้ค่าจ้างรายสัปดาห์ชักหน้าไม่ถึงหลัง  คนจนกลุ่มนี้โดยทั่วไปมักมีรายได้ปีละ 10,000 ถึง 25,000 บาท  คนที่คิดเรื่องเงินแบบเดือนชนเดือนอย่างคนชั้นกลาง  ก็ จะคอยกังวลกับรายจ่ายประจำเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต และรายจ่ายอื่นๆ คนกลุ่มนี้มักมีรายได้ต่อปีอยู่ในช่วง 25,000 ถึง 100,000 บาท
          คนที่คิดเรื่องเงินแบบรายปีคือ กลุ่มคนรวยที่เริ่มเรียนรู้ความรับผิดชอบทางการเงิน  เรียนรู้การบริหารเงินและการลงทุน  คน รวยกลุ่มนี่โดยมากจะมีรายได้ต่อปีประมาณ 100,000 ถึง 500,000 บาท คนที่มองเรื่องเงินเป็นรายสิบปีหรือรายทศวรรษ คือเหล่าเศรษฐีที่ว่างแผนธุรกิจไปในอนาคต พวกเขาเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอย่างถูกกฎหมายเพื่อให้เงินมีอยู่ทำงาน แทนเจ้าของ และยังส่งต่อทรัพย์สินที่ใช้เวลาตลอดชีวิตสร้างสมมาไปยังลูกหลานโดยไม่ถูก รัฐบาลหักภาษี
คน กลุ่มนี้โดยทั่วไปมักจะมีรายได้เกิน 500,000 บาทต่อปี แต่ระดับมหาเศรษฐีเกือบทุกรายมักสร้างรายได้อย่างน้อยปีละ 10 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง

การขยายแนวความคิดไปสู่อนาคต
ยิ่งเราสามารถขยายแนวความคิดทางการเงินไปในอนาคตได้ไกลเท่าไร เราจะยิ่งรวยขึ้นเท่านั้น  บรรดาเศรษฐีที่อ.เคยรู้จักเป็นการพิเศษ  ล้วนมีการวางแผนธุรกิจสู่อนาคตเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปีทั้งสิ้น เมื่อตอนที่อ.ได้เริ่มปรับมุมมองการเงินสู่แนวคิดรายปี  รายได้ของอ.ก็เริ่มเพิ่มขึ้นเช่นกัน  อ.เริ่มถามตัวเองเป็นต้นว่า  อ.จะเพิ่มรายได้ในปีนี้ของตัวเองเป็นสองเท่าได้อย่างไร  อ.จะลดการชำระภาษีของปีนี้อย่างถูกกฎหมายได้อย่างไร  และการที่อ.เห็นหลักการมองแบบระยะยาวจากชีวิตของผู้ที่อ.ยึดเป็นแบบอย่าง  ได้ท้าทายให้อ.ลองมองไปยังอนาคตของตัวเองดูบ้าง  ตอนนี้อ.มีแผนธุรกิจที่วางไว้สำหรับอีก  20 ปี ข้างหน้า ใช้เวลาใคร่ครวญเป็นประจำว่าในอีก ห้า สิบ หรือยี่สิบปีข้างหน้า อ.อยากให้ชีวิตตัวเองเป็นอย่างไร แล้วจึงเริ่มวางแผนเพื่อไปสู่จุดนั้น  แล้วทีนี้พวกเราอยากให้ชีวิตเราเป็นอย่างไรในสิบปีข้างหน้า  ลองคิดดูแล้วเริ่มวางแผน การคิดไปในอนาคตนั้นต้องใช้ความอดทน  และความอดทนนั้นเองเป็นทรัพย์อันล้ำค่าของคนร่ำรวย  ส่วนความใจร้อนจะตกเป็นภาระของคนชั้นกลางแทน ชนชั้นกลางมักเป็นพวกที่ต้องการเติมความพึงพอใจแบบเร่งด่วน อ.เองก็เป็นอย่างนั้นอยู่หลายปีทีเดียว  ไม่ว่าจะต้องการอะไร  อ.จะใช้บัตรเครดิตรูดหามันมา หรือไม่ก็วางเงินดาวน์แล้วผ่อนเอา  ตอนนี้ผมแค่รอให้ได้สิ่งนั้นมา  เพราะเป้าหมายของอ.คือ การมีอิสระ ไม่ใช่ความสะดวกสบาย
เมื่อก้าวสู่ช่วงบั้นปลายชีวิต  ผู้ร่ำรวยกัลยาณมิตร รักการให้เป็นพื้นฐาน จึงจะคู่ควรนามเศรษฐีที่แท้

คนรวยและมหาเศรษฐีควรได้พัฒนานิสัยแห่งระเบียบวินัยในการรอคอยความสะดวกสบายที่มีอยู่แต่ยังมาไม่ถึง  พวกเขาทำในสิ่งที่วันนี้ คนอื่นไม่ยอมทำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มีทางหามาได้ เช่นนี้  กลุ่ม คนที่ยากไร้ คนจน คนชั้นกลางจะไม่มีทางเป็นอิสระ แต่อิสระที่มากขึ้นและมากขึ้น จะเป็นเป้าหมายของเหล่าคนรวยและมหาเศรษฐี พวกเขาเหล่านั้นล้วนตกหลุมรักการควบคุมชีวิตตนเองได้  เหล่าคนยากไร้  คนจน  และคนชั้นกลางกลับฝากอำนาจควบคุมชีวิตตนเองไว้ในมือคนอื่น  และมันช่างน่าเจ็บปวดที่มักจะเป็นมือของเหล่าคนรวยทั้งหลาย กลุ่มผู้ร่ำรวยจะถือว่าอิสรภาพมีค่าเหนือกว่าความสะดวกสบาย  และจากการที่คนเหล่านี้คิดอย่างนั้น  พวกเขาจึงมีทั้งสองอย่างเพราะคนชั้นกลางให้ค่าความสะดวกสบายเหนือกว่าอิสรภาพ  พวกเขาจึงไม่มีวันเป็นอิสระ
มองการณ์ไกลในทุกแง่มุมของชีวิต 
อ.อยากให้เราตระหนักว่า หลักการมองการณ์ไกลนี้ยังใช้ได้ดียิ่งกับในทุกเรื่องของชีวิต  ไม่เฉพาะเพียงแค่เรื่องการเงินเท่านั้น เช่น ในแง่ความสัมพันธ์กับผู้อื่น เมื่อเรานำหลักการนี้มาใช้  เราจะให้เกียรติผู้อื่นมากขึ้น  และจะคิดอ่านเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ ทุกแง่มุมล้วนโยงใยในชีวิต หากได้คิดการณ์ไกลสัก 1 ด้าน ก็จะช่วยผสานให้ทุกด้านดีขึ้นไปด้วย

หากเรามองแต่เพียงผลระยะสั้น เราจะคิดแค่ว่าคนอื่นจะทำอะไรให้เราบ้าง  และ จะกลายเป็นหลอกใช้คนอื่นเพื่อประโยชน์ตนฝ่าเดียว เราทำเช่นนั้นเป็นประจำ ในที่สุดเราจะกลายเป็นคนโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบั้นปลายชีวิต
คน ที่ร่ำรวยมักจะพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความสำเร็จด้านการเงินในระยะยาวเช่นกัน พวกเขาคิดเสมอว่า จะช่วยเหลือครอบครัว เพื่อนฝูง และลูกค้าอย่างไร เมื่อ ก้าวสู่บั้นปลายชีวิต จะมีก็แต่ความสัมพันธ์ระยะยาวเช่นนี้ ที่จะทำให้เราร่ำรวยอย่างแท้จริง ขอให้ลองถามตัวเองเป็นประจำดูว่า เราจะต่อเติมความสัมพันธ์กับบรรดาคนที่เรารักให้ลึกซึ้งและแนบแน่นขึ้นได้ อย่างไร เช่น เดียวกับคนจำนวนมากซึ่งยากจน ไร้ทรัพย์สินเงินทอง และยังมีคนอีกไม่น้อยที่ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้งน้ำใจ เช่นคนที่รักใครไม่เป็น คนที่ขาดความอดทน หรือไร้ความปราณี คนที่ให้อภัยใครไม่เป็น หรือคนที่มากไปด้วยโทสะ เหล่านี้แหละคือคนที่ยากจนทางอารมณ์ ฉะนั้น จงมุ่งมั่นสู่เป้าหมายที่จะร่ำรวยทางความรู้สึกเช่นเดียวกับทางการเงิน




การ ที่ได้เป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยในความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นเป็นยิ่งกว่าความ สำเร็จ มันมีความหมายยิ่งใหญ่มาก มันคือการเติมเต็มความสมบูรณ์ที่ให้คุณค่าแก่ชีวิตทีเดียว  ความ สำเร็จทางการเงินอันปราศจากการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนั้นไม่ได้ให้รางวัลอะไร แก่ชีวิตคุณ จงมองการณ์ไกลทั้งในเรื่องการเงินและความสัมพันธ์ หาก เรามองการณ์ไกลในเรื่องสุขภาพตัวเองได้ด้วย จะถือว่าเป็นการฉลาดมาก เพราะเราจะเริ่มหาเวลาออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น เพราะถ้าไม่ เราก็จะเห็นแต่ความอยากอยู่ต่อหน้ากินแต่อาหารขยะ มองข้ามการออกกำลังกาย มีโอกาสมากที่จะกลายเป็นคนน้ำหนักเกิน และใช้ชีวิตแบบไม่กระตือรือร้น การมองการณ์ไกลในด้านสุขภาพ จะสร้างพลังงานให้คุณประสบความสำเร็จทางด้านการเงินมากขึ้นอีก
การได้ทำเงินจากการทำงานที่เขารัก นี้เป็นความลับของบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย

ทุกๆ แง่มุมในชีวิตนั้นเชื่อมต่อถึงกันหมด การมองการณ์ไกลในแต่ละแง่มุมจะส่งให้ทุกๆ ด้านดีขึ้นไปด้วยเป็น การฉลาดเช่นกันที่จะใช้หลักการมองการณ์ไกลนี้ ในการดูแลสุขภาพจิตของเรา เราอยากใช้เวลาในตลอดชีวิตนี้คิดเกี่ยวกับอะไร มีเรื่องใดในโลกนี้ที่คิดแล้วให้แรงบันดาลใจ เราใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไรแล้วมีความสุขเพลิดเพลินไม่รู้จักเหนื่อย หลาย คนที่ใช้ชีวิตไปกับการคิดในเรื่องที่ตื่นเต้น และสร้างแรงบันดาลใจให้คึกคักสนุกสนาน จะมีความสุขสงบทางใจอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลุ่มที่จะถูกจัดว่ายากจนทางสุขภาพใจคือพวกที่ช่างตำหนิ และใช้พลังความคิดจิตใจไปกับเรื่องที่พวกเขาไม่ชอบ กลุ่มผู้จนเงินและ จนใจ จึงอยู่อย่างกดดันด้วยความเครียดนานา พวกเราเล่ามาว่าอยากจะมีความสงบสุขทางใจมากขึ้นไหม ถ้า ใช่ จงเริ่มคิดถึงสุขภาพใจของเราแบบระยะยาวได้แล้ว ใช้พลังความคิดและพลังใจไปกับเรื่องที่เราชอบ อุทิศชีวิตให้แก่สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ แล้วหาทางทำเงินจากเรื่องที่เราคิดแล้วมีความสุขด้วย นี่เป็นความลับของบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย พวกเขาทำเงินจากการทำในสิ่งที่เขารัก นั่นทำให้พวกเขาร่ำรวยทั้งทางใจและทางการเงิน  จงมองการณ์ไกลกับทุกเรื่องในชีวิต ไม่ใช่ทางการเงินเพียงอย่างเดียว

ตั้งเป้าหมายระยะยาวให้มากขึ้น
ใน การยกระดับตัวเองขึ้นจากคนจนไปสู่คนชั้นกลาง หรือจากคนชั้นกลางไปสู่คนชั้นร่ำรวย หรือสู่ระดับมหาเศรษฐี ให้เริ่มวางแผนชีวิตสู่อนาคตที่ไกลขึ้น ตั้งเป้าหมายระยะยาวในชีวิตให้มากขึ้น คนทั่วไปประเมินความสามรถที่ตนจำทำได้ในหนึ่งปีไว้สูงเกินจนทำไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ประเมินสิ่งที่ตนจะทำได้ในสิบปีไว้ต่ำเกินไป เมื่อ เรามีเป้าหมายระยะยาวเหล่านั้น เราก็จะพบว่าการพัฒนานิสัยมุมานะพากเพียร ทำได้ง่ายขึ้น เศรษฐีทุกคนล้วนใช้สิ่งที่กล่าวมานี้ด้วยความอดทนแล้วก้าวผ่านความท้าทาย ต่างๆ ในชีวิตมาทั้งสิ้น หากเราต้องการจะทำฝันให้เป็นจริง เราจะต้องกลายเป็นคนประเภทที่ อะไรก็ทนได้ กลุ่ม คนชั้นกลางมักล้มเลิกเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากการที่พวกเขาให้ความสำคัญแก่ความสะดวกสบาย เมื่อหนทางเริ่มขรุขระพวกเขาจึงหยุด แต่คนรวยจะกัดฟันก้าวต่อไป ต่อไป แล้วก็ต่อไป อีกทั้งพร้อมจะทำอะไรก็ตามอันจะนำไปสู่ความมั่งคั่ง เพราะเมื่อได้มองการณ์ไกลไว้แล้ว พวกเขาจะมุ่งมั่นบากบั่นไม่ย่อท้อจนกระทั่งแน่ใจว่าพวกเขาได้รับอิสรภาพสม ปรารถนานั่นเอง

บันได 5 ขั้น สู่การสปอนเซอร์แบบมืออาชีพ
การสปอนเซอร์ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักในการสร้างธุรกิจMLM ของเรา วันนี้มาดูกันว่าการสปอนเซอร์อย่างมืออาชีพนั้นมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไรกันบ้าง ดิฉันขอเริ่มจาก
1.    นักแนะนำตัว ก่อนการเริ่มสปอนเซอร์ทุกครั้งควรเตรียมความพร้อม เพื่อไม่ให้เกิดความขลุกขลักขึ้นในระหว่างที่สปอนเซอร์ เช่น การกรอกใบสมัครควรแนะนำให้ผู้สมัครอ่านใบสมัครให้ครบถ้วนก่อนการลงมือกรอก  แนะนำให้ผู้สมัครรายใหม่เข้ารับการฝึกอบรมและการประชุมต่างๆ รวมถึงการเก็บสต็อคผลิตภัณฑ์ และการรับคืนผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือการแนะนำในทุกๆ เรื่องควรยึดระเบียบปฏิบัติของพวกเราหรือปฏิบัติตามที่บริษัทเสนอแนะและกำหนดไว้เท่านั้น นอกจากจะไม่ทำให้ผู้สมัครรายใหม่เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนแล้วยังเกิดประโยชน์กับผู้สมัครรายใหม่ในการจดจำวิธีการแนะนำเช่นนี้ไปปฏิบัติต่ออีกด้วย
2.    ปกป้องสิทธิของตนและให้เกียรติสิทธิผู้อื่น พวกเราต้องไม่ชักชวน หรือเข้าไปเกี่ยวข้องให้พวกเราคนใดคนหนึ่งลาออกจากสายการสปอนเซอร์เดิมหรือเปลี่ยนสายการสปอนเซอร์ ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แม้ว่าพวกเรา คนนั้นๆ จะเคยอยู่ในสายงานเดียวกับเรามาก่อนก็ตาม
3.    ยึดมั่นกฎ 6 เดือน ผู้สปอนเซอร์ควรยึดมั่นในกฎ 6 เดือน และพึงระลึกอยู่เสมอว่านักธุรกิจที่สิ้นสุดสถานภาพแล้ว ไม่ว่าจะโดยการลาออกหรือการไม่ต่ออายุนั้นยังติดอยู่ในกฎ 6 เดือน ฉะนั้นผู้สปอนเซอร์ไม่ควรชักชวนนักธุรกิจคนนั้นให้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท เช่น ชวนเข้าฝึกอบรม การประชุมรวมถึงการไปเซ็นเตอร์ของพวกเราในอนาคต แต่หากนักธุรกิจคนนั้นมีความประสงค์จะบริโภคผลิตภัณฑ์ของบริษัทโดยส่วนตัวเราสามารถขายให้ได้ในราคาขายปลีกเท่านั้น  
4.   พูดถึงกฎจรรยาบรรณอย่างภาคภูมิ ระเบียบปฏิบัติและกฎจรรยาบรรณของบริษัทนั้นมิได้มีไว้ให้พวกเรานักธุรกิจมืออาชีพเกิดความยุ่งยากแต่อย่างใด หากแต่มีไว้เพื่อปกป้องสิทธิต่างๆ ของนักธุรกิจทุกคนให้ได้รับความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน การอธิบายถึงระเบียบปฏิบัติต่างๆ รวมถึงกฎจรรยาบรรณให้ผู้สมัครรายใหม่ได้เข้าใจและชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่นักธุรกิจรายใหม่จะได้จากระเบียบปฏิบัตินี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อการทำธุรกิจที่ยั่งยืน และมั่นคงของนักธุรกิจเอง
5.   สต๊อคและรับคืนก็สำคัญ ผู้สปอนเซอร์ควรศึกษาถึงวิธีการจัดเก็บสต๊อคและการรับคือผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจก่อนการไปสปอนเซอร์ผู้สมัครรายใหม่ เพราะการเก็บสต๊อคนั้นมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจ เพราะหากมีสต๊อคน้อยเกินไปก็อาจทำให้ท่านเสียโอกาสในการปิดการขาย แต่หากท่านมีสต๊อคมากเกินไปก็จะกลับกลายเป็นว่าเราเกิดการกักตุนสินค้า ส่วน การรับประกันความพอใจ ไม่พอใจยินดีคืนเงินหรือการรับคืนที่บริษัทใช้ในการย้ำถึงการมีคุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นถือเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าของท่านเกิดความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่ท่านนำไปเสนอเป็นอย่างมาก ฉะนั้นการศึกษาถึงวิธีการรับคืนเพื่อนำไปอธิบายให้กับผู้สมัครรายใหม่ได้เข้าใจและยึดเป็นหลักปฏิบัติ นับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สมัครรายใหม่ได้ปิดการขายได้อย่างรวมเร็วยิ่งขึ้น
ไหนๆ ก็เขียนให้เย็นถึงหัวใจแล้ว อ. มีอีกหนึ่งเรื่องที่ขอให้อาหารสมองคือ สิ่งที่สำคัญถัดจากความฝัน ความเชื่อ เพราะ มันจะเป็นแรงผลักดันให้พวกเราก้าวข้ามผ่านอุปสรรคที่ขวางกั้นเราอยู่ ถ้าเรา ขาดความเชื่อที่มากเพียงพอ เราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการทำงานอะไรก็ ตาม ถ้าความเชื่อของเรานั้นไม่หนักแน่นพอ เราจะถูกทำให้หลงทางและมันจะทำให้คุณ บรรลุฝันของเราได้ช้า  หรืออาจไม่มีทางบรรลุได้เลย อะไรคือความเชื่อของเรา ที่จะนำพาเราก้าวข้ามผ่านอุปสรรค ?
ความเชื่อนั้นแบ่งออกเป็นหลายระดับ  แต่ จะไม่พูดถึงระดับของความเชื่อทั้งหมด    แต่ การที่เราจะสามารถประสบความสำเร็จ  ไม่เฉพาะการทำธุรกิจเครือข่าย แต่รวมถึงทั้งหมดในชีวิตของเรานั้น เราจำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และความเชื่อนั้นต้องเกิดขึ้นจากภายในตัวเราเอง ไม่ใช่ความเชื่อจากปากของคนอื่น หรือความเชื่อที่เราถูกตั้งโปรแกรมมา เราเคยสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมเราถึงล้มเหลวใน MLM ที่เราทำมาก่อนหน้านี้     บางคนอาจจะมาก กว่า 1 ตัว ? บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะเราเลือกบริษัทผิด   บางคนอาจคิดว่าเป็นเพราะสินค้าไม่ดี ไม่ตอบโจทย์  บางคนอาจคิดว่าเป็นเพราะแผนการตลาดทำยากมาก หรือสาเหตุอื่นอีกมากมาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น