วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างของแผนการตลาดในธุรกิจMLM








Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได

แผน ระบบนี้จัดเป็นระบบดั้งเดิมในระบบการตลาดแบบหลายชั้น โดยแต่ละระดับชั้นจะมีการกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ (ขอใช้คำทับศัพท์แทนคำว่า
อัตรา ส่วนนะ) ที่ชัดเจนลงไปเลยว่าอยู่ในระดับนี้จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าระดับสูงขึ้นไปจะกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับระบบนี้ระดับยิ่งสูงก็จะได้เปอร์เซ็นต์เยอะ
กว่า ระดับที่ต่ำกว่า เวลาจ่ายผลประโยชน์ก็จะคำนวณจ่ายจากส่วนต่างของแต่ละระดับชั้น คล้ายๆกับว่าผู้อยู่ในระดับสูงมีหน้าที่รับผลตอบแทนของกลุ่ม (ของ
ตน เอง+ของทีมงาน) มาจากบริษัท แล้วตัดจ่ายส่วนของทีมงานระดับล่างให้เขาไป ก็จะเหลือผลตอบแทนส่วนที่ตนจะได้รับจริง แต่ในปัจจุบันเพื่อป้องกัน
ปัญหา ทางการเงิน บริษัทมักเป็นผู้คำนวณและจ่ายโบนัสให้ ดังนั้นโบนัสที่ได้รับจึงเป็นโบนัสที่หักส่วนของทีมงานออกแล้ว ข้อสังเกตของระบบนี้คือ
* มักจะมีการสะสมยอดผลงานเอาไว้ไม่ล้างทิ้ง ไม่จำกัดเวลา จึงเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับสูงขึ้นได้แม้เพียงแค่บริโภคซ้ำ เท่านั้น
* ผู้ที่ชักชวนสมาชิกมากย่อมมี สิทธิได้รับโบนัสมากขึ้นทั้ง จากยอดรวมขององค์กรที่ผลักดันให้ตนเองขึ้นสู่ ระดับสูงขึ้น แต่สมาชิกใหม่ที่เข้ามาก็ยังอยู่ในระดับแรกๆ จึงทำให้รายได้สูงขึ้นเพราะมีส่วนต่างมากขึ้น
* ผู้ที่อยู่ในระดับสูงแม้จะมีเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนสูงกว่า ระดับ ล่างแต่เมื่อผลงานส่วนใหญ่เป็นยอดของทีมงาน (ผู้ร่วมธุรกิจที่ชวนมา) ก็จะต้องจ่ายส่วนใหญ่ของผลตอบแทนให้ทีมงานไป และเหลือส่วนต่างอยู่ไม่มากนัก และหากต่อมาทีมงานเติบโตก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับตน ก็หมายถึงการไม่มีรายได้ ทำผู้นำต้องขยายงานในแนวกว้างอย่างต่อเนื่อง และผลก็คือหยุดทำงานไม่ได้

* ในทางปฏิบัติมักพบว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผู้ร่วมธุรกิจระดับบนไม่สนับสนุนให้ทีมงานก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าตน เพราะเกรงว่าจะสูญเสียรายได้
 Brake Away - ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
ระบบ นี้พัฒนาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องทีมงานเติบโตเป็นระดับเดียวกันกับตนเองแล้วทำ ให้ผู้นำขาดรายได้ ของระบบ Stair Step ซึ่งแก้โดยเมื่อพบว่าผลงานใต้องค์กรเติบโตขึ้นจนตำแหน่งชนกัน ก็จะยกคะแนนที่เกิดจากสมาชิกคนนั้นออกจากองค์กรเพื่อไม่ให้คำนวณซ้ำซ้อน แล้วเปลี่ยนมาให้ผลประโยชน์ในอีกรูปแบบเช่นมองเป็น Level เพื่อเป็นรายได้ชดเชย อย่างไรก็ตามระบบหลักๆก็เป็นแบบ Stair Step อยู่ดี ซึ่งบางคนก็เรียกกันติดปากว่าระบบ Stair Step - Brake Away รวมกันจนแยกกันไม่ออก
Matrix - ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
ระบบ นี้ก็พัฒนาจากระบบ Stair Step อีกเช่นกันครับ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้นำมีการขยายตลาดด้วยการแนะนำผู้อื่นเข้าร่วมธุรกิจมาก ขึ้น (อาจเรียกว่าขยายแนวกว้าง) โดยการจูงใจด้วยการให้ผลประโยชน์ในชั้นลึก แนะนำมากขึ้นก็ได้ผลประโยชน์ในชั้นลึกมากขึ้น จะเห็นว่าแนวกว้างและแนวลึกมีความสัมพันธ์กัน เหมือน Matrix นั่นเองครับ เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงหรืออาจมองว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในระบบ Stair Step
 Uni-Level - มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
ระบบ นี้ให้ผลตอบแทนตาม ชั้นลึก โดยกำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่าเมื่อผู้จำหน่ายแต่ละท่านชักชวนผู้อื่นเข้ามา ร่วมธุรกิจแล้วจะได้รับผลประโยชน์ในแต่ละชั้น ชั้นละกี่เปอร์เซ็นต์ และลึกกี่ชั้น แต่ด้วยการตัดยอดแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วล้างทิ้งไป ไม่นำมาพิจารณาอีกแล้วในรอบใหม่ ส่วนลดผลประโยชน์ที่ได้รับจึงมักมีการแกว่งตัว ทำให้ดูเหมือนกับระบบไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อน จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ Uni-Level กลับหัวเข้าร่วม หรือนำไปรวมกับแผนการตลาดระบบอื่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงและเร็ว เช่น ระบบ Tri-Nary ซึ่งดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นแล้วการล้างคะแนนทิ้งไปในแต่ละรอบการคำนวณจะทำให้ Uni-Level ขาดความน่าสนใจไปเยอะทีเดียว
Binary และ Tri-nary - แผนจับคู่
ระบบ Binary เป็นระบบ Balance คะแนน โดยอาจบังคับโครงสร้างให้เป็น หนึ่งแตกสอง คือผู้นำหนึ่งรายสามารถมีสมาชิกติดตัวในองค์กรเพียง 2 สาย (มักเรียกว่าขาซ้ายและขาขวา) แต่จะลึกลงไปกี่ชั้นก็ได้เรียกว่า Infinity ชั้นกันเลย หากมียอดคะแนนมาจากทั้งสองขา Balance กันหรือจับคู่กันได้ก็จะจ่ายโบนัสให้ทันที ส่วนแผน Tri-nary นั้นผู้คิดค้นและนิยามศัพท์ก็คือนักออกแบบแผนการตลาดคนไทย คุณกัมปนาท บุญราศรี  (คำว่า Tri ก็ล้อมาจาก ไตร ที่แปลว่า สาม นั่นเองครับ) แผนการตลาดระบบนี้ออกแบบเป็น 3 สายงานเพื่อแก้ปัญหาในการทำงานของระบบ Binary ที่ผู้นำขยายงานเป็น 2 สายแล้วเกิดยางแตก สายใดสายหนึ่งยอดสะดุดขึ้นมาก็จะขาดรายได้ จึงมีขาที่สามเป็นตัวยางอะหลั่ย โดยออกแบบวิธีการเฉพาะในการ Balance ของ Tri-nary เพิ่มเติม และบริษัทฯที่ใช้ระบบนี้ก็สร้างความความสำเร็จมากมายจนเกิดความนิยมในเทคนิค นี้ไปใช้กันแพร่หลายในต่างประเทศเลยทีเดียว ทั้งระบบ Binary และ Tri-nary ได้มีการพัฒนาปรับใช้เทคนิคกันไปได้หลายแนวทางครับทั้ง Balance คะแนน และไม่ต้อง Balance คะแนน , บังคับโครงสร้าง และไม่บังคับโครงสร้าง , สะสมยอด และไม่สะสมยอด , รวมถึงการ UpGrade หรือ TopUp คือจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น และมี Matching ซึ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากความสำเร็จของทีมงาน คือมีผลตอบแทนคำนวณจากผลตอบแทนที่ทีมงานได้รับ
Party Plan - แผนลูกผสม
เป็น การนำระบบต่างๆ มาดัดแปลงใช้กันตามจินตนาการและความเข้าใจ ของผู้ออกแบบแผนการตลาด โดยมากพบว่าหากดัดแปลงกันไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว แผนการตลาดที่ได้จะอธิบายและทำความเข้าใจได้ยาก และคนทำงานตามไม่ทัน เมื่อคนไม่เข้าใจก็ขยายไม่ออกหรือทำงานช้านั่นเองครับ หลายๆแผนออกแบบก็เพื่อมาแก้ปัญหาระบบเดิม แต่ก็ควรทดสอบด้วยว่าจะสร้างปัญหาใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้อดีก็คือ เทคนิคดีๆของแผนการตลาดก็มาจากแผนแนวนี้ครับ เช่น เทคนิค RollUp เป็นต้น แต่แหม! ขอแซวหน่อยนะ หลายครั้งที่พบว่าชื่อแปลกๆบางครั้งก็นำมาใช้เรียกเพียงเพื่อสร้างความน่า สนใจแต่ไม่มีอะไรแตกต่างเลยก็มีเยอะครับ เช่น PowerMatch , CycleRing , MegaComplex
ไม่ ว่าแผนการตลาดใดก็ตามต่าง ก็มีข้อเด่นข้อด้อยของมันกันทั้งสิ้น การทำธุรกิจขายตรงให้สำเร็จจึงไม่ใช่ที่อยู่ที่แผนการตลาดทั้งหมด แต่แผนการตลาดก็เป็นตัวเปรียบเทียบตัวหนึ่งในตลาดขายตรงปัจจุบันไปแล้วอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันหมายถึงตัวกำหนดพฤติกรรมการทำงานและการบริโภคของผู้ร่วมธุรกิจไป แล้วในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น