วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความเชื่อที่ว่า “เราต้องทำได้” คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

ความเชื่อที่ว่าเราต้องทำได้ คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

ถ้าเราขับรถเข้า ป่าไปและไปเจอต้นไม้ล้มขวางถนนอยู่ ถ้าเราคิดว่าคงไปต่อไม่ได้แน่ๆ เราอาจจะตัดสินใจถอยรถกลับบ้านไปเลย  แต่...ถ้าใจเราคิดว่าเราต้องไปให้ได้ สมองของเราก็จะทำงานต่อโดยพยายามหาหนทางที่จะช่วยให้เราสามารถผ่านต้นไม้ที่ ล้มขวางไปได้ เช่น 
·         ลองหาเครื่องมือที่พอมีอยู่ในรถมาจัดการกับกิ่งไม้เล็กๆก่อนเผื่อว่าอาจจะพอมีช่องให้รถเราผ่านไปได้
·         นั่งรอจนกว่ามีคนมาช่วยจัดการนำเอาต้นไม้นี้ออกไป
·         รอผู้ใช้รถคันอื่นมาสมทบและค่อยช่วยกันยกต้นไม้ออกไป เพราะเส้นทางนี้คงไม่มีแค่เพียงเราเท่านั้นที่ต้องผ่าน
·         เดินไปขอความช่วยเหลือหรือยืมเครื่องมือจากชาวบ้านแถวนั้น
·         ลองเดินลงไปสำรวจดูว่าทางเบี่ยงข้างๆถนนที่รถเราน่าจะพอผ่านไปได้บ้างหรือไม่
·         จะโทรไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่
·         ดู แผนที่เพื่อดูว่ามีเส้นทางอื่นอีกหรือไม่ที่สามารถไปถึงจุดหมายที่เราต้อง การจะไปได้ เช่น ทางลัดที่เป็นถนนเส้นเล็กๆ หรือเส้นทางอื่นที่อาจจะมีระยะทางไกลกว่า
การดำเนินชีวิตของคนเรา คงไม่แตกต่างอะไรจากตัวอย่างนี้ เพราะในทุกวันเรามักจะประสบพบเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมาย มีทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก มีทั้งเรื่องที่เจอบ่อยและไม่บ่อย และหลายครั้งที่เรายอมแพ้ปัญหาเพราะใจเราไม่สู้ พอใจไม่สู้คิดว่าทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ สมองของเราก็จะปิดประตูไม่คิดอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจเราบอกว่าต้องเป็นไปได้ น่าจะพอมีหนทางแก้ไขได้ สมองของเราก็จะรับคำสั่งไปดำเนินการคิดหาหนทางต่อจนกว่าจะได้คำตอบหรือจน กว่าจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้จริงๆเหมือนที่ใจเราคิดตั้งแต่แรก  คนหลายคนที่ไม่สามารถสานฝันให้เป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง เขาไม่มีโอกาส แต่...เขามักจะทำลายโอกาสในชีวิตด้วยการสะสมสารพัดข้ออ้างไว้มากเกินไป เช่น
·         อยากทำธุรกิจส่วนตัว แต่คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเราไม่มีเงินทุนเพียงพอ
·         อยากออกจากงานประจำไปทำอาชีพอิสระ แต่กลัวว่าไม่มั่นคง รายได้ไม่แน่นอน
·         อยากจะเรียนต่อ แต่คงจะยากเพราะไม่มีเวลาและบริษัทคงไม่อนุญาตให้เรียน
·         อยากจะทำสวนแต่ไม่มีที่ดิน เงินก็ไม่มี คงเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
ข้ออ้างเหล่านี้ มักจะตัดโอกาสดีๆในชีวิตของเราทิ้งไปเยอะมาก ข้ออ้างหลายอย่างเกิดจากความรู้สึกของตัวเราเองเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากข้อมูลและข้อเท็จจริงอะไรเลย บางข้ออ้างได้รับอิทธิพลมาจากคนอื่น เช่น เพื่อนเราออกจากงานประจำไปทำธุรกิจส่วนตัว ปรากฏว่าทำได้ไม่นานธุรกิจไปไม่รอด กลับมาทำงานเป็นลูกจ้างเหมือนเดิม และหางานยากกว่าเดิมอีก โดยที่เรายังไม่ได้วิเคราะห์ว่าตัวเรากับเพื่อนเราคนนั้นมีอะไรเหมือนหรือ ต่างกันบ้าง หรือมีอะไรบ้างที่เพื่อนเราผิดพลาดไปแต่เราสามารถนำมาป้องกันแก้ไขได้

เพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถลด ละ เลิกการสะสมข้ออ้าง หรือกำจัดข้ออ้างที่มีอยู่ในชีวิตและทำให้ชีวิตก้าวหน้ากว่าที่ควรจะเป็น ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
 
ตรวจสอบดูว่าปัจจุบันเรายังมีความฝันหรือเป้าหมายอะไรบ้างที่เรายังไปไม่ถึงหรือยังไม่เป็นจริง
ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบว่าเป้าหมายในชีวิต ณ เวลานี้ มีอะไรบ้าง แต่ละเรื่องเราต้องการไปให้ถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ เช่น เราอยากศึกษาต่อ เราอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ฯลฯ และถ้าเป็นไปได้ ลองคิดย้อนกลับไปหาความฝันบางเรื่องที่เราเคยตัดใจลบทิ้งไปแล้วด้วยว่ามี อะไรบ้าง เพราะบางเรื่องอาจจะยังมีหนทางที่พอเป็นไปได้ พูดง่ายๆคือเรารีบกำจัดความฝันด้วยการฟันหน่อของความฝันทิ้งตั้งแต่เพิ่ง งอกออกมาจากหัว เช่น เราเคยคิดอยากจะเป็นดารา/นักการเมืองตอนที่เรายังหนุ่มๆหรือเป็นวัยรุ่น เราเคยคิดอยากจะไปทำงานเมืองนอก ฯลฯ แต่ตอนนี้เราเลิกคิดไปหมดแล้ว
 
รวบรวมข้ออ้างที่ทำให้ความฝันของเรายังไม่เป็นจริง
ขอให้วิเคราะห์ดูว่าความฝันหรือเป้าหมายในชีวิตที่เราเคยกำจัดทิ้งไปแล้ว หรือยังค้างคาอยู่ในใจในปัจจุบัน แต่ละข้อนั้นเรามีข้ออ้างอะไร เช่น เราเป็นดาราไม่ได้แน่ๆเพราะตอนนี้แก่แล้ว หรือเราคงจะร่ำรวยไม่ได้หรอกเพราะเราทำงานกินเงินเดือน เราคงจะไม่ได้เรียนต่อเมืองนอกแล้วแน่ๆ เพราะมีครอบครัวแล้ว ลูกก็เล็กอยู่ ฯลฯ ซึ่งอาจจะทำสรุปข้ออ้างกับเป้าหมายในชีวิตออกมาเป็นตารางเพื่อดูว่าข้ออ้าง อะไรบ้างที่ขัดขวางเป้าหมายในชีวิต เพราะข้ออ้างบางเรื่องอาจจะขัดขวางเป้าหมายในชีวิตมากกว่าหนึ่งเป้าหมายก็ ได้ เช่น เราไม่มีเงินอาจจะขัดขวางทั้งเป้าหมายในการศึกษาต่อ เป้าหมายในการทำธุรกิจส่วนตัว ฯลฯ
 
กำจัดข้ออ้าง
จริงๆแล้วข้ออ้างคือตัวถ่วงในชีวิตของคนเราที่สำคัญมาก ดังนั้น จึงขอแนะนำให้กำจัดข้ออ้างในชีวิตให้หมดไปหรือเหลือน้อยที่สุด โดยวิธีการในการกำจัดข้ออ้างที่ดีที่สุดคือ
 
ให้ตอบคำถามว่า มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่
ให้เราเริ่มต้นจากการนำเอาเป้าหมายแต่ละข้อพร้อมกับข้ออ้างที่เรารวบรวมมา ได้ ลองนำมาถามตัวเองว่าโอกาสที่จะทำให้เป้าหมายในชีวิตเรื่องนั้นๆเป็นจริงมี หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ เป็นไปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุด้วยผล เช่น เราเป็นทหารไม่ได้แน่นอนเพราะเราเป็นคนพิการแขนและขา เราอยากจะเป็นนักสำรวจอวกาศขององค์กรนาซ่า แต่คงเป็นไปไมได้หรอกเพราะตอนนี้เราอายุ 50 แล้วและมีความรู้แค่เพียง ป.4 ฯลฯ ขอให้ลบความฝันเหล่านี้ทิ้งไปเลยไม่ต้องเก็บมาหลอกหลอนตัวเองอีกต่อไป เพราะยังไงก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ
 
คิดหาทางออกให้คำถามที่ตอบว่า
น่าจะพอมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง
เป้าหมายชีวิตข้อใดที่เราคิดว่าพอมีหนทางเป็นไปได้บ้างแม้จะมีอยู่เพียงน้อย นิดก็ให้นำมาคิดต่อว่ามีทางเลือกหรือแนวทางอะไรบ้าง เช่น
- โอกาสที่เราจะได้เป็นนักการเมืองระดับชาติ น่าจะพอเป็นไปได้ แม้ว่าเราไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อนและไม่มีฐานเสียงอะไรมาก่อน สำหรับแนวทางก็พอมีบ้าง เช่น ลงเลือกตั้งในช่วงที่พรรคฝ่ายค้านประท้วงไม่ลงสมัครเหมือนที่คนบางคนได้ คะแนนเพียงไม่กี่พันคะแนนก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้ หรือไปแต่งงานกับลูกนักการเมืองที่เขามีฐานเสียงดีอยู่แล้ว หรือไปทำงานด้านมูลนิธิเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น หรือไปเป็นที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดกับนักการเมืองที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หรือไปทำงานเกี่ยวกับอาชีพที่คนรู้จักมาก เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง พิธีกร ฯลฯ แล้วค่อยไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกที่ไม่ต้องสังกัดพรรคและใครก็ สมัครได้ถ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน
- โอกาสที่เราจะศึกษาต่อเมืองนอก แม้ว่าเราจะมีครอบครัวแล้วก็น่าจะพอเป็นไปได้ เช่น เลือกไปทำงานกับบริษัทต่างชาติที่มีโอกาสย้ายเราและครอบครัว ไปทำงานต่างประเทศก่อนและค่อยหาหนทางในการศึกษาต่อต่อไป หรือสอบชิงทุนการศึกษาต่างประเทศ หรือทำงานกับบริษัทที่มีทุนเรียนต่อต่างประเทศในขณะเดียวกันก็ยังมีเงิน เดือนเลี้ยงครอบครัวอยู่ด้วย หรือเก็บเงินและเรียนทางไกลกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศผ่านอินเตอร์เน็ตโดย ไม่ต้องไปอยู่ประจำ แต่สามารถเรียนต่อได้ ทำงานไปด้วยก็ได้
อ. ขอสรุปดังนี้ ข้ออ้างในชีวิตของเราจะหมดไปด้วยการ ลบเป้าหมายที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริงๆออกไปจากชีวิต และให้เปลี่ยน
ข้ออ้าง ของเป้าหมายชีวิตที่พอมีหนทางเป็นไปได้ ให้เป็น แนวทางถึงเวลานี้ชีวิตเราก็คงจะไม่มีข้ออ้างหลงเหลืออยู่เลย


เคยสงสัยหรือไม่คะว่า  ผลลัพธ์ที่ได้รับในธุรกิจเครือข่ายนั้นมีผลมาจากสิ่งใด ?
เหตุใดจึงไม่ได้รับผลลัพธ์จากธุรกิจเครือข่าย เท่าที่คุณต้องการ ? และจะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์จากธุรกิจเครือข่ายได้อย่างไร ? ดิฉัน มีคำตอบที่อยากทราบ ดิฉันจะพาเข้าไปรับรู้ถึงสูตรสำเร็จที่เป็นที่มาของผลลัพธ์ในธุรกิจเครือข่ายของทุกคน   และยิ่งกว่านั้นสูตรนี้สามารถใช้ได้กับทุก ๆ เรื่องของชีวิตได้ ไม่เฉพาะแค่ธุรกิจเครือข่าย เท่านั้น ถ้าเข้าใจและนำไปใช้ก็จะเกิดผลลัพธ์แบบที่ต้องการได้
สูตรที่ว่านั้นคือ E(Environtment) + I(You) = R(Result) หรือ สภาพแวดล้อม + ตัวเรา = ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
แปลกใจกับความเรียบง่ายของสูตรนี้ใช่ไหม แต่ ดิฉับอกได้เลยค่ะว่า สูตรนี้เป็นเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุก ๆ เรื่องของชีวิต ไม่เฉพาะในธุรกิจเครือข่าย เท่านั้นค่ะและถ้าเข้าใจ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่เราต้องการได้จากการสูตรนี้นั่นเอง
ก่อนอื่น ดิฉันอยากจะอธิบายสูตรนี้ให้เข้าใจกันเสียก่อน การที่ผลลัพธ์ใด ๆ เกิดขึ้นนั้น มาจากสภาพแวดล้อมของคุณรวมกับตัวคุณ เช่น วันนี้เราอยู่ในบริษัทธุรกิจเครือข่าย ที่ทุก ๆ คนล้วนแล้วแต่คิดบวกด้วยกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนคิดบวก แต่ถึงอย่างไรผลลัพธ์ออกมาคุณก็จะกลายเป็นคนคิดบวกได้ในที่สุด ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าคุณเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมของคนที่คิดลบ ถึงจะไม่มีความคิดลบ ๆ เราก็จะกลายเป็นคนคิดลบในที่สุด นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากสูตรนี้แทบทั้งสิ้น
คำถามก็คือแล้วถ้าเราจะต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์เหล่านี้ เราจำเป็นต้องทำเช่นไร ?การที่ตัวเราจะเปลี่ยนผลลัพธ์ของตัวเอง  เราสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หรือเปลี่ยนที่ตัวเอง แต่การที่จะเปลี่ยนนั้นอ.อยากให้ลองดูสมการสมมุติต่อไปนี้ดูครับ ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมลบอย่างสุดขีด สมมุติอ.ให้ค่าสภาวะแวดล้อมลบเป็น 100 ตัวเราคิดบวก 50 ก็จะได้สมการเป็น -100 + 50 = -50 ซึ่งก็คือ เราก็จะกลายเป็นคนคิดลบถูกไหมครับ ดังนั้นถ้าเราจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกจากสมการด้านบน เราจำเป็นต้องเพิ่มค่าคิดบวกของเราให้สูงเกิน 100 หรือลดสิ่งแวดล้อมลบให้น้อยลง เราก็จะสามารถกลายเป็นคนคิดบวกได้นั่นเองแต่สมการด้านบนนั้นเป็นเพียงแค่การจินตนาการในชีวิตเท่านั้น   ที่แทบจะไม่มีทางเป็นจริงได้ในชีวิตของเรา เพราะเราไม่สามารถวัดค่าคะแนนออกมาเป็นตัวเลขได้ ในบางครั้งเราแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมบวกหรือลบ หรือตัวเรามีค่าเป็นบวกหรือลบกันแน่ ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจำเป็นต้องทำคือ การเปิดใจกว้างพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา และพิจารณาตัวเองเป็นลำดับต่อมาคำถามอีกคำถามก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?
ตอบได้ง่าย ๆ ค่ะ ถ้าวันนี้เรายังไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ในชีวิตของเรา แสดงว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผลลัพธ์นั้นไม่เคยโกหกใคร ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เป็นจริงที่สุด และไม่สามารถโต้แย้งได้
แล้วอะไรเปลี่ยนง่ายกว่ากันระหว่างตัวเรากับสิ่งแวดล้อม ?ในกรณีนี้ดิฉันขอแยกออกเป็น 2 คำตอบค่ะ ถ้าเปลี่ยนแล้วได้ผลที่สุด คือการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าเราเป็นคนไม่เอาไหน ขี้เกียจมาก แต่ถ้าเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนที่ขยัน และประสบความสำเร็จ เราก็จะเกิดแรงกระตุ้นเชิงบวกให้คุณลงมือทำ และเราก็จะได้รับผลลัพธ์เท่า ๆ กับคนที่ประสบความสำเร็จได้เอง แต่การจะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมนั้นบางคนอาจจะไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ่งแวดล้อมลบ ๆ บางครั้งอาจจะเป็นคนที่รัก เป็นครอบครัว
ดังนั้นถ้าถามถึงความง่ายในการเปลี่ยน นั่นก็คือต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา แต่ดิฉันบอกได้เลยค่ะว่าไม่ได้ง่ายเลย เราลองคิดดูซิคะถ้าตัวเราตั้งใจว่าจะไม่ทานข้าวเย็น แต่ต้องไปงานเลี้ยงโต๊ะจีน เราจะทนไม่ทานได้หรือคะ คงเป็นไปได้ยากนอกจากเราจะมีความตั้งใจที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวนี่คือคำแนะนำจากดิฉัน ถ้าเราอยากเปลี่ยนผลลัพธ์ในธุรกิจเครือข่าย หรือในชีวิตของเราได้อย่างรวดเร็ว ให้เราเอาตัวเราเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ คนที่ประสบความสำเร็จ และเราจะสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับพวกเขา แต่ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราได้ เราจะต้องเพิ่มเกราะป้องกันตัว ด้วยความรู้จากการอ่านหนังสือ  การเข้าสัมมนา และที่สำคัญเราต้องลงมือทำจึงจะได้ผลลัพธ์

การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมหรือตัวเรา จะทำให้ผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ถ้าเรามีความเข้าใจ และลงมือทำ เราก็จะสามารถลิขิตผลลัพธ์ในธุรกิจเครือข่าย หรือในชีวิตของเราได้ด้วยตัวเราเอง
"อดีต ปัจจุบัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"

โดยธรรมชาติมนุษย์นั้นจะเป็นผู้ที่คิดคำนึงถึงแต่เรื่องของตนเอง ตั้งแต่ "อดีต ปัจจุบัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต" มนุษย์เราจะคิดใน 3 เรื่องนี้วนไปเรื่อยแต่จะคิดได้ครั้งละเรื่องเท่านั้น
อดีต คือเรื่องราวความสุข,ความทุกข์ในอดีตนั้นจะทำให้ตัวเรานั้นเชื่อว่าเราเป็น คนแบบไหน? เพราะอดีตคือ เขตความสบาย Comfort Zone ที่เรามักจะไปหลบซ่อน หรือยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมทำในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตในปัจจุบัน หรืออาจจะเป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตของบุคคลนั้นๆ ก็ได้

เมื่ออนาคตคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นไปในทางที่ดี หรือในทางที่ไม่ดีก็ได้...
สิ่งที่จะทำให้เราสามารถสร้างภาพอนาคตในห้วงความคิดนั้นก็คือ...

"ใช้แรงผลักดันในอดีต + การตัดสินใจ ณ เวลาปัจจุบันนั้นเอง = สิ่งที่เราต้องการในอนาคต"

แม้ว่าการวางแผนอนาคตนั้นจะเริ่มต้นจากสิ่งที่จับต้องไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ใน ห้วงความคิดเท่านั้น แต่กลไกที่จะทำให้เกิดอนาคตที่สดใสนั้นจะเริ่มต้นที่
1. ตั้งเป้าหมายในอนาคตของคุณให้ชัดเจน ไม่กว้างจนเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด หรือสิ่งที่คุณต้องการในขณะนี้ก็ตาม
2.  กำหนดระยะเวลาให้กับเป้าหมายของคุณนับตั้งแต่คุณตัดสินใจ...1 ปี, 3 ปี ,5 ปี...
3. ศึกษา และมองหาหนทาง​อย่างสร้างสรรค์ในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ
4. เขียนเป้าหมายในอนาคตของเพื่อเตือนความจำ และที่สำคัญเพื่อเป็นการให้คำสัญญากับตัวเอง
5.  ประกาศเป้าหมายของคุณให้เป็นที่รับรู้กับเพื่อน ญาติพี่น้อง ภรรยา สามี หรือลูกของคุณ
6.  ลงมือทำ...ทำ...ทำ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ
7.  อย่าล้มเลิกเมื่อไหร่ที่ท้อใจ หรือมีปัญหา ให้เอาป้ายเตือนความจำขึ้นมาดู แล้วจงมองหาความช่วยเหลือจากคนที่อยู่รอบๆตัวคุณ
สิ่งสุดท้ายที่อ. จะฝากเอาไว้ก็คือ...
ชีวิตเราๆเป็นผู้ลิขิต แม้เส้นทางจะขรุขระ หรือยากลำบากเพียงใด
ขอเพียงมีเป้าหมายและตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปโดยไม่หยุด...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น