วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

( MLM กับบทเรียนชีวิต 7 ช่วงเวลาที่สำคัญมุมมองของชีวิต (Defining Moments)

เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมบางครั้งพวกเราจึงมีความกลัวขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าทำอะไรบางอย่าง
และ หลายครั้งคล้ายมีเสียงบางเสียงก้องในหูว่าเราไม่มีความสามารถจะทำได้หรือทำ ไปก็ไม่ประสบความสำเร็จ เราเคยถามตนเองหรือไม่ว่าความรู้สึกกลัวหรือขาดความมั่นใจนั้นเกิดจากอะไร ความจริงแล้วคนเราทุกคนมีช่วงเวลาสำคัญของชีวิตช่วงเวลาที่หล่อหลอมให้เรา เป็นเราอย่างที่เราเป็นทุกวันนี้ หล่อหลอมให้เรานิยมชมชอบหรือไม่ชอบบางสิ่งบางอย่าง หล่อหลอมให้เรามีค่านิยมบางประการ หล่อหลอมให้เราเกิดความกลัวอยู่ลึกๆ ในใจ และหล่อหลอมต่อการตัดสินใจในการดำเนินชีวิตของเราสิ่งนั้น เรียกว่า ช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต (Defining Moments) 
ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจยอดเยี่ยมจนมีคุณค่ามากมาย และเป็นแหล่งความสุขของเราตลอดชีวิต หรืออาจเป็นช่วงเวลาอันเจ็บปวดรวดร้าว ที่เราได้พยายามอย่างหนักที่จะลืมเลือน หรือวิ่งหนีจากมันหากแต่ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถลืมมันได้ 
ตอน ที่เรียนดิฉัน มีโอกาสคุยกับโค้ชหลายคน ซึ่งเขาเหล่านั้นก็ได้แบ่งปันเรื่องราวดีดีก่อนที่จะเรียนโค้ชชิ่ง เขาไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมตนเองจึงไม่รู้สึกภาคภูมิใจ หรือประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อเวลาตนเองสามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการทำได้ทั้งที่เขาเป็นคนเก่งและมี ความสามารถเหนือผู้บริหารหลายๆ คนในองค์กร สืบไปสืบมาจึงค้นพบว่ามีเหตุการณ์หนึ่งในวัยเยาว์ของเขายังฝังลึกอยู่ในใจ ทำให้มีเสียงหนึ่งเฝ้าบอกเขาว่า เขาเป็นคนไม่เอาไหน และไม่สามารถเอาดีได้ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อเขาอายุประมาณ 5 ขวบพ่อแม่ของเขาทะเลาะกันและตัดสินใจแยกทางกัน อยู่วันนั้นเขาจำได้แม่นยำว่าเขาเสียใจมากวิ่งหนีออกจากบ้าน และตัดสินใจว่าต่อไปนี้เขาจะไม่สนใจเล่าเรียนเพราะพ่อแม่ยังไม่สนใจความ รู้สึกของเขา อยู่มาวันหนึ่งเขาเดินถือสมุดรายงานผลการเรียนเข้าไปหาพ่อของเขา เมื่อพ่อเปิดสมุดพกก็โมโหมากท่านพูดเสียงดังว่าอย่างแกคงไม่มีวันเจริญหรอก แค่เรื่องเรียนง่ายๆ แค่นี้ยังเอาดีไม่ได้เลย เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของเขาลงไปในจิตใต้สำนึกทุกครั้งที่เขาประสบความ สำเร็จ เสียงนั้นกลับตะโกนอยู่ในตัวเขาว่า เขาเป็นคนไม่เอาไหนและไม่สามารถเอาดีได้ และนี้คือเหตุผลที่เขาไม่รู้สึกภาคภูมิใจเท่าที่ควรทุกครั้งที่เขาประสบความสำเร็จ 
     หากเราหยิบกระดาษขึ้นมา 1 แผ่นแล้วจดบันทึกถึงเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตช่วงที่เรายืนเด่นบนยอดเขาและ ตกต่ำถึงหุบเหวเราจะพบว่ามีช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตประมาณ 5-8 เหตุการณ์ช่วงเวลาเหล่านั้นหล่อหลอมให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้ และการตัดสินใจในอดีตกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้นำพาชีวิตของเราให้เดินทางมา ถึงจุดปัจจุบัน และหากเราลองทบทวนให้ดีจะต้องแปลกใจว่ามีหลายเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้นเกิด ขึ้นในช่วงที่เรายังเป็นเด็กหรือวัยรุ่น ช่วงเวลาที่สำคัญส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในอดีตสมัยที่เรายัง เป็นเด็กโดยมากจะ อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 5-8 ขวบเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเราและเป็นจุดที่เราเริ่มต้นบอกตัว เองว่าจากนี้ไปเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร และสิ่งนี้นี่เองก็จะกลายเป็นความเชื่อในการดำเนินชีวิตของเราต่อมาจนเติบโต เป็นผู้ใหญ่โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว  ทั้งนี้ เนื่องจากตอนที่เราเป็นเด็กเราไม่ได้มีสติเพียงพอหรือประสบการณ์ที่จะหา ข้อมูลเหตุผลหรือพูดบอกกับตัวเองว่าคนๆ นี้กำลังตัดสินใจผิดๆ และการตัดสินใจนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวฉันและฉันจะไม่ยอมให้การกระทำหรือ คำพูดนั้นๆ มากระทบฉันเมื่อยามเราเป็นเด็กพ่อแม่หรือพี่น้องเราทำอะไรให้เราเจ็บสิ่ง เดียวที่เรารับรู้คือเราเจ็บปวด เราเศร้า เราเสียใจผู้คนที่มีใกล้ชิดกับเราตอนเด็กมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อสิ่งที่ เราเชื่อเกี่ยวกับตัวเองและสิ่งที่เราจะสื่อสารกับตัวเอง
 ประเด็นคือคนส่วนมากมักยึดติดกับความเชื่อที่ก่อขึ้นใน ขณะนั้นโดย ไม่มีข้อคำถามใดๆหลังจากนั้นความเชื่อเหล่านี้ถูกพัฒนาให้ฝังแน่นเพิ่มขึ้น โดยออกล่าหาหลักฐานหรือข้อมูลที่สนับสนุนสิ่งที่เราได้บอกกับตนเองเพื่อตอก ย้ำความเชื่อว่าความเชื่อนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องความจริงของเรามาจากสิ่งที่ เราเชื่อเข้าใจประสบเห็นได้ยินหรือรู้สึก  ยกตัวอย่างเช่น เคยมีผู้ได้รับการโค้ชคนหนึ่งเล่าให้ดิฉันฟังว่า ช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตคือ ตอนที่เขาถูกขังไว้ในห้องนอนหนึ่งคืนและพ่อแม่ของเขาก็ไม่ยอมปล่อยเขาออกมา เมื่อ เขาร้องไห้ไม่ว่าเราจะให้ความหมายอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์นี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตสำหรับผู้ได้รับการโค้ชคนนี้ นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลานี้เองเขาได้บอกกับตัวเองว่า ฉันอยู่ตัวคนเดียวความ จริงแล้วเขาอาจเลือกจะบอกสิ่งอื่นกับตัวเองก็ได้ เช่น ฉันจะนอนเดี๋ยวพ่อแม่ก็กลับมาหรือฉันจะไม่มีวันให้อภัยพวกเค้า สิ่งที่อาจเกิดขึ้นนั้นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาได้บอกกับตัวเองว่ามันมี ความหมายอย่างไรกับตัวเขา ผลของสิ่งที่ผู้ได้รับการโค้ชคนนั้นได้บอกกับตนเองคือเขาเลือกที่จะเชื่อว่า ฉันจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอด  ผลของความเชื่อนั้นคือ เขาได้ออกหาหลักฐานที่จะมายืนยันความเชื่อนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกไปเกี่ยวพันกับผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว มีเพื่อนน้อยและทำงานคนเดียว เพราะผู้อื่นมักทำให้เราผิดหวังเสมอ เขามีรูปแบบพฤติกรรมแบบนี้ไปจนถึงอายุสามสิบกว่าๆ ซึ่งการเลือกดำเนินชีวิตทั้งหมดนี้มาจากช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตที่เขาแทบ จะไม่ได้นึกถึงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

พลังของความเชื่อมีบทบาทมากมายมหาศาลจากเมล็ดเล็กๆ ได้เติบใหญ่เป็นต้นไม้จิตใจของเราบ่มเพาะเมล็ดเล็กๆ ดังกล่าวโดยเฝ้าตามล่าหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์เมล็ดที่เราได้ปลูกเอาไว้ข้างใน ผู้รับการโค้ชเรานั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชีวิตที่เขาได้สร้างขึ้นมานั้น เป็นผลมาจากช่วงเวลานั้นช่วงเดียวเมล็ดเล็กๆของความเชื่อที่เขาบอกตนเองจาก เหตุการณ์สำคัญในช่วงเยาว์วัย เราสามารถค้นหาความเชื่อจากช่วงเวลาที่สำคัญ (Defining Moment) และสามารถปลดปล่อยความเชื่อที่ไม่สนับสนุนการเติบโตหรือการดำรงชีวิตของเรา โดยปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่หนึ่ง ระบุช่วงเวลาที่สำคัญที่สำคัญในชีวิตของเรา โดยระบุอายุของเราและสถานที่ที่เราอยู่ในวันนั้น
ขั้นตอนที่สอง บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และบทสนทนาที่พูดคุยกัน
ขั้นตอนที่สาม บันทึกสิ่งที่เราบอกตนเองและถามตนเองว่าเรามีความเชื่ออะไรเกิดขึ้น อันเป็นผลจากเหตุการณ์วันนั้น
ขั้นตอนที่สี่ ถาม ตนเองใหม่ว่าหากวันนี้เรากลับไปมองเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยความประสบการณ์ ของเราในปัจจุบัน เราควรบอกตนเองเสียใหม่ว่าอย่างไร  จงถามตนเองว่าผลที่ได้รับจากการมีความเชื่อดังกล่าวเราสูญเสียอะไรไปบ้าง แล้ว จากการเก็บความเชื่อนั้นไว้ และเราจะสูญเสียอะไรไปอีกหากเรายังเก็บความเชื่อนั้นไว้อีก เราควรเก็บความเชื่อดังกล่าวนั้นไว้หรือไม่หรือเราควรบอกตัวเองใหม่อย่างไร
ขั้นตอนที่ห้า คิด ว่าพวกเราควรมีความเชื่อใหม่ใดเพื่อจะสนับสนุนการดำรงชีวิตต่อไปเพื่อทำให้ ชีวิตที่จะดำเนินต่อไปของเรามีคุณค่า และความสุขยิ่งขึ้นสร้างความเชื่อใหม่ที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการ สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความเชื่อนั้นมีอยู่ในตัวเรามาเป็นเวลานานมาก ถามตัวเราเองอีกครั้งว่า ในสถานการณ์นี้ เราควรจะบอกอะไรกับตัวเอง หรือคนอื่น เราห่วงใยหรือใส่ใจอะไร เราควรบอกกับเด็กน้อยในวัยเยาว์นั้นอย่างไร
การเปลี่ยนแปลง ความเชื่อที่ฝังรากลึกนั้นสามารถกระทำได้โดยการที่เรามีสติ การให้พลังกับตัวเอง และมีอิสระในการเลือกความเชื่อได้โดยการยอมรับว่าตัวตนที่เราสร้างให้กับตัว เองตอนเด็กไม่ใช่ตัวตนที่เราต้องยอมรับเมื่อเป็นผู้ใหญ่ เรามีอิสระที่จะเลือกว่าควรเชื่ออะไร หรือปลดปล่อยตนเองจากความเชื่อที่ฝังแน่นในอดีตเสมอ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น