วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความฝันเป็นจริงได้จริงหรือ ?


ความฝันเป็นจริงได้จริงหรือ ?
ความฝันของวันนี้ใครตื่นนอนขึ้นมาแล้วจำได้บ้าง หรือทำได้ตามความฝันนั้นไหม เอาล่ะ ดิฉันขอเขียนถึงเรื่องนี้แล้วกัน การสร้างความฝันและเป้าหมายให้เป็นรูปธรรม เพราะบางที่พวกเราไม่สามารถทำได้...อ. ขอเริ่มว่า สิ่งน่าทึ่งสิ่งหนึ่งที่ให้เรามาในฐานะมนุษย์คือ ความปรารถนาอย่างเหนียวแน่น ที่จะมีความฝันในอันที่จะมีชีวิตดีขึ้นและความสามารถที่จะสร้างเป้าหมายให้ มั่นคงแข็งแร่งเพื่อที่จะได้ชีวิตตามฝันเหล่านั้น คิดดูสิ เราสามารถมองลึกลงไปในหัวใจและความฝันเห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับตัวเรา และครอบครัวของเรา ซึ่งเป็นความฝันในเรื่องชีวิตด้านการเงินที่ดีขึ้น รวมทั้งชีวิตด้านอารมณ์หรือสิ่งที่เป็นเชิงกายภาพต่างๆที่ดีขึ้น และแน่นอน ความฝันของชีวิตในเชิงจิตวิญญาณที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้มันยิ่งทรงพลังมากขึ้นก็คือว่า เราไม่เพียงได้รับความสามารถที่จะฝันเท่านั้น แต่เรายังได้รับความสามารถที่จะติดตามฝันเหล่านั้น และไม่เพียงที่จะติดตามให้ได้พวกมันมาเท่านั้น แต่เรายังได้รับความสามารถในความสำนึกคิดที่จะวางแผนและกลวิธี ซึ่งได้แก่ การกำหนดเป้าหมาย อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ความฝันเหล่านั้นที่เป็นจริงด้วย ทรงพลังยิ่ง!  
ความฝันและเป้าหมายต่างๆของเราคืออะไร? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว หรือว่าสิ่งที่เราได้ทำมา แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องการ เราเคยลองนั่งลงคิดอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างจริงๆ เกี่ยวกับคุณค่าต่างๆในชีวิตของเรา และตัดสินใจในสิ่งที่เราต้องการจริงๆหรือไม่? เราเคยใช้เวลาที่จะใคร่ครวญจริงๆ ฟังเงียบๆเข้าไปในหัวใจของเราเพื่อดูว่าความฝันอะไรบ้างที่มีชีวิตอยู่ในตัวเรา ความฝันต่างๆของเราอยู่ที่นั่น ทุกคนมีมันทั้งหมด มันอาจจะมีชีวิตอยู่บนผิวหน้านั่นเลย หรือมันอาจจะถูกฝังอยู่ลึกตั้งแต่ปีโน้นๆที่คนอื่นๆบอกคนว่าความฝันเหล่า นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันยังคงอยู่ที่นั่นแหละ
ก็แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าความฝันต่างๆของเราคืออะไร? นี่เป็นกระบวนการที่น่าสนใจและมันเกี่ยวพันกับศิลปะแห่งการฟังเป็นเบื้องแรก ทีเดียว นี่ไม่ใช่การฟังคนอื่นๆ แต่มันเป็นการฟังตัวของคุณเอง หากเราฟังผู้อื่นแล้ว เราจะได้ยินแต่แผนและความฝันต่างๆของพวกเขา (และหลายๆคนก็พยายามที่จะใส่แผนและความฝันของพวกเขาลงไปในความคิดของเราเสีย ด้วยสิ) หากเราไปฟังคนอื่นเสียแล้ว เราก็จะไม่มีวันสมปรารถนา เราก็จะเพียงแต่ไล่ล่าความฝันที่หลอกลวงที่มิได้หยั่งรากลึกอยู่ในตัวเรา อย่าเด็ดขาด เราต้องฟังหัวใจของเราเอง
เรามาดูกันซิว่า ขั้นตอนหรือความคิดที่นำไปปฏิบัติได้จริงในการฟังหัวใจของเราว่าความฝัน ต่างๆคืออะไรนั้น เป็นอย่างไร ใช้เวลาที่จะอยู่อย่างเงียบๆ ซึ่งมันมักจะไม่ได้เป็นวิถีชีวิตที่ปฏิบัติกันในโลกที่วุ่นวายของเรา มีแต่เร่งรีบอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน แล้วเราก็ฟังแต่เสียงอื่นๆทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเรา หัวใจของมนุษย์นั้นต้องการความเงียบสงบ เพื่อที่จะศึกษาลึกเข้าไปข้างใน เมื่อเราทำเช่นนี้ หัวใจของเราก็จะได้รับการปลดปล่อยให้บินขึ้นสูงอย่างอิสระเพื่อโบยบินไปสู่ ความฝันต่างๆของเรา! จัดเวลาที่จะเงียบสงบสำหรับ เวลาแห่งการฝันภายในสัปดาห์นี้ ไม่มีคนอื่น ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ แค่คุณกับกระดาษดินสอและความคิดของเราเท่านั้น
ลองคิดดูซิว่า อะไรทำให้เราตื่นเต้นเบิกบานหรือสร้างความปีติแก่เราอย่างแท้จริง เมื่อคุณเงียบสงบแล้ว ให้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้เลือดของเราไหลเวียนอย่างซาบซ่าน เรารักที่จะทำอะไร ไม่ว่าจะเพื่อความสนุกสนานหรือการใช้ชีวิต? เรารักที่จะสัมฤทธิ์ผลในเรื่องอะไรบ้าง? เราจะทำอะไรหากมันรับประกันความสำเร็จได้? ความคิดใหญ่ๆที่จะเคลื่อนหัวใจของเราเข้าสู่สภาวะจิตของความตื่นเต้นหรรษา คืออะไรเมื่อเราตอบคำถามเหล่านี้ เราจะรู้สึก ยอดเยี่ยมมาก แล้วเราจะเข้าไปสู่ ห้วงฝัน เมื่อเราเข้าสู่ห้วงความฝันนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราได้รับรู้อย่างแท้จริงว่า ความฝันของเราคืออะไรบ้าง

เมื่อตื่นขึ้นมา จงเขียนความฝันของเราทั้งหมดลงไปเมื่อมันผุดขึ้นมา จงอย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ งี่เง่า แต่ให้จำไว้ว่า เรากำลังฝันอยู่นะ! จงปล่อยให้ความคิดได้โบยบินและบันทึกลงไปอย่างละเอียดลออต่อไป ให้จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง อะไรที่สำคัญที่สุด? อะไรที่เป็นไปได้มากที่สุด? อะไรที่เรารักจะทำมากที่สุด? เรียงใส่มันลงไปตามลำดับในแบบที่เราจะลงมือกระทำตามนั้นจริงๆ จำไว้ว่า เราจะเคลื่อนที่เข้าสู่การลงมือกระทำอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่ฝันเท่านั้น และนี่คือภาพใหญ่
ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าที่จะไม่ติดตามความฝัน วันหนึ่งข้างหน้าชีวิตของเราจะเข้าใกล้จุดสิ้นสุด และทั้งหมดที่เราสามารถจะทำได้ตอนนั้นก็คือ การมองย้อนหลังกลับมา เราสามารถที่จะคิดย้อนกลับอย่างหรรษาหรือโศกเศร้า คนที่ฝัน คนที่ตั้งเป้าหมาย แล้วกระทำ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตตามความฝันของพวกเขาคือ คนที่ใช้ชีวิตอย่างหรรษา และมีความรู้สึกสงบสุขในจิตใจเมื่อพวกเขาย่างเข้าสู่บั้นปลายชีวิต พวกเขาสิ้นสุดลงอย่างดี สำหรับทั้งส่วนตัวและครอบครัวของพวกเขา
ทุกคนควรจำไว้ว่า เหล่านี้คือ ความฝันและเป้าหมายซึ่งเกิดขึ้นจากหัวใจและความคิดของเรา เหล่านี้คือ เป้าหมายซึ่งมีลักษณะพิเศษเฉพาะสำหรับเรา และมาจากคนที่เราถูกสร้างให้เป็นและมีความสามารถพิเศษที่จะได้รับ เป้าหมายเฉพาะต่างๆของเราคือ สิ่งที่เราได้รับเพราะว่า มันคือ สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราหรรษา และนำชีวิตครอบครัวของเราสอคล้องอย่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เราต้องการเป็น...
" วิธีการบรรลุความฝันของเรา "
ในขณะที่คนส่วนมากใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาตะเกียกตะกายหาเงินเพื่อยังชีพ นั้น คนจำนวนที่น้อยกว่ามากมีทุกสิ่งที่อยากจะได้ แทนที่จะหาเงินเพื่อยังชีพเท่านั้น กลุ่มที่มีคนจำนวนน้อยกว่ากำลังทำงานอย่างตัวเป็นเกลียวเพื่อสร้างและมีความ สุขกับโชคลาภที่ได้รับ ทุกสิ่งดูจะดีไปหมดสำหรับพวกเขา และพวกกลุ่มใหญ่นั่น ก็นั่งงงๆว่าทำไมชีวิตช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย มันทั้งสลับซับซ้อนไม่เข้าข้างพวกเขา อะไรล่ะคือความแตกต่างระหว่างคนจำนวนน้อยที่มีมาก กับคนจำนวนมากที่มีน้อย  แม้ว่าจะมีปัจจัยทั้งมวลที่มากระทบชีวิตของเรา เช่น พ่อแม่ในแบบที่เรามี โรงเรียนที่เราผ่าน ภูมิภาคของประเทศที่เราเติบขึ้นมา ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีพลังอำนาจที่จะมีผลกระทบต่ออนาคตของเรามากมาย เทียบเท่าความสามารถในการสร้างฝันของเรา
ความฝันคือ ภาพที่ถูกฉายออกมาในความคิดของลักษณะชีวิตที่เราต้องการจะดำเนิน ความฝันทั้งหลาย สามารถขับเคลื่อนเรา ความฝันสามารถทำให้เรากระโดดพลิ้วข้ามอุปสรรคต่างๆไปได้ เมื่อเรายอมให้ความฝันทั้งหลายของเราฉุดตัวเราไปหามันแล้วไซร้ มันก็จะปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ที่สามารถมีพลังเหนืออุปสรรคใดๆที่อยู่บนเส้นทางของเรา ทว่า การที่จะปลดปล่อยพลังนี้ได้ ความฝันของเราจะต้องถูกระบุอย่างแน่ชัด ภาพของอนาคตที่คลุมเครือมีพลังดึงดูดน้อย ความฝันเกี่ยวกับอนาคตที่กำหนดไว้ชัดจะไม่ทำให้อนาคตคลุมเครือ ความปรารถนาอย่างไม่แน่ใจมีความคลุมเครือ การที่จะบรรลุความฝันของเรา การที่มีแผนอนาคตอย่างจริงจัง ดึงเราไปข้างหน้า ดังนั้นความฝันของเราต้องเหมือนภาพที่เกิดขึ้นจริง
หากคุณได้เคยเดินทางไกลขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงๆ ความคิดหนึ่งจะต้องผุดขึ้นมาในสมองอย่างแน่นอนว่าชาวบ้านแถบนี้เขาเดินกันได้ไงเนี่ย?” บางคนเดินโดยไม่ต้องดื่มน้ำเลย หรือบางคนก็ดื่มเพียงเล็กน้อย บางคนไม่ได้รับประทานอาหาร บางคนก็รับประทานน้อย การแบกสัมภาระและเสบียงมากมายสำหรับรับประทานวันเดียวก็เหนื่อยยากเหลือเกิน แล้ว ลองจินตนาการดูว่า หากต้องแบกสัมภาระและเสบียงเพื่อปีนเขาเป็นสัปดาห์ วันแล้ววันเล่าจะขนาดไหนกัน และลองนึกถึงนักไต่เขาที่ขึ้นยอดเขาที่มือชื่อเสียงอย่างเอเวอเรสต์ดูสิ ต้องใช้เสบียงเท่าไหร่ ฉะนั้น คนเหล่านี้ต้องมีความฝันที่ใหญ่มากแน่ๆ พวกเขาต้องมีความทะเยอทะยานต่อความสำเร็จ พวกเขาไม่ได้มองที่ความยากลำบากในการเดินหรือไต่ขึ้นเขาแต่อย่างใดเลย
ในสมองของพวกเขา พวกเขาอยู่ที่อีกฟากหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ร่างกายยังไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นเท่านั้นเอง! ทั้งๆที่มีความลำบากลำบน และต้องต่อสู่ฝ่าฟันมากมายเพียงใด มีทั้งการเกิดและการตายตลอดเส้นทาง คนเหล่านั้นที่ไปอยู่อีกฟากหนึ่งแล้วมีวิสัยทัศน์หนึ่งเดียวนั่นคือ ไปถึงดินแดนแห่งแสงตะวันที่สาดส่องอย่างต่อเนื่องและความมั่งคั่งที่เหนือ ธรรมดา การที่จะเริ่มต้นไปสู่สิ่งใดๆและทุกๆสิ่งที่เป็นไปได้นั้น ความฝันของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าอุปสรรคที่อยู่บนเส้นทางอย่างแน่นอน
ทีนี้พวกเราจะ ต้องเป็นนักฝัน เราต้องมองเห็นอนาคตในความคิดของเรา เราต้องมองเห็นอีกฟากหนึ่งของเทือกเขา แล้วขณะที่เรากำลังไต่ด้วยความเหนื่อยยากขึ้นไปสู่ยอด เราต้องมองเห็นเส้นชัยแล้วในขณะที่เรากำลังวิ่งแข่งเราต้องได้ยินเสียง เชียร์อย่างกึกก้อง แล้วในระหว่างกระทำโครงการอันแสนลำบาก เราจะต้องเต็มใจและตั้งใจที่จะกระโจนเข้าสู่การกระทำที่ไม่สะดวกสบายจนกว่า มันจะกลายเป็นสิ่งสะดวกสบายและจนกว่า...เราก็จะทำฝันนั้นให้เป็นจริงในที่สุด
การสร้างกำลังใจในการทำงาน 
ทำงาน พอรู้ไหมว่ากำลังใจเปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้าที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันเป็นพลังที่เกื้อหนุนให้มนุษย์เราสามารถกระทำในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดา อย่างเรา ๆ แทบไม่เชื่อเลยว่าสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ นั้น เกิดขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์เราที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ ความใฝ่ฝัน และความทะเยอทะยาน ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองจีน พีรามิดที่ประเทศอียิปต์ เทคโนโลยีในการก่อสร้างดาวเทียม หรือยานอวกาศต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากกำลังใจแรงบันดาลใจ และความใฝ่ฝัน จึงอาจจะกล่าวได้ว่า เมื่อมีกำลังใจที่ใด ย่อมมีวิถีทางที่นั่นธุรกิจการขายจะอาศัยกำลังใจ ยิ่งกว่าความรู้ ทักษะ ความสามารถเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากพวกเราขาดกำลังใจ ใจฝ่อ ท้อแท้เสียแล้ว แม้มีความ ความสามารถก็เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง ข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อ.จะขอฝากต่อไปนี้ เป็นแง่คิดไว้ให้พวกเศรษฐีได้พิจารณาสร้างสรรค์กำลังใจ ให้ประสบความสำเร็จในอาชีพดังนี้
1. คำนึงถึงหลักแห่งความสำเร็จ อิทธิบาท 4 ที่บอกถึงองค์ประกอบของความสำเร็จที่ว่า ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หรือรัก (งาน) มาพากเพียร ตั้งจิต และพิจารณา
2. อาชีพขายแม้จะไม่แน่นอนในเรื่องของเวลา แต่รายได้นั้นแน่นอนถ้าหากท่านได้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง ไม่มีข้ออ้างว่าร้อนนัก หนาวนัก เย็นนัก
3. หาตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในบริษัท แล้วพยายามเรียนรู้แนวทาง หรือวิธีการในการทำงานของเขา วิธีการพูด หรือหลักการพูดของเขา เช่นเจ้าของ ผู้จัดการ หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงานคนเก่ง ๆ และหาหนังสือดี ๆ ที่สร้างสรรค์กำลังใจไว้เป็นเพื่อนยามท้อ
4. พยายามเอาชนะต่อปัญหา หรืออุปสรรค แล้วแผ้วถางทางเดินเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ เช่น เอาชนะคำครหา คำดูถูกจากบุคคลอื่น ๆ ที่ว่าเราทำไม่ได้ หรือทำไม่สำเร็จ และเมื่อใดถ้าหากเราทำได้ และสำเร็จ เขาก็จะยอมรับเรา และเชื่อเรา
5. เชื่อว่าเรานั้นหากต้องการประสบความสำเร็จก็ต้องยอมเหนื่อยไปก่อนสัก 1-2 ปี อย่าทอดทิ้งงานให้วางแผนการทำงานเสมอ จัดทำตารางเวลาทำงานเสมอ บันทึกผลการทำงาน หรือจัดทำบัญชีชื่อผู้มุ่งหวัง และหาผู้มุ่งหวังเพิ่มจนกลายเป็นนิสัย
6. คิดก่อนพูดเสมอแล้วคำพูดของท่านจะหนักแน่น
7. ขอให้มองไปข้างหน้า ทำวันนี้ และวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ข้อผิดพลาดที่ล้มเหลวในการขาย หรือชักชวน อย่าโทษผู้ติดต่อแต่ควรที่จะโทษตนเองก่อนให้พยายามเรียนรู้ และปรับปรุงตัวเรา
8. อย่าหมดหวัง ยิ้มเข้าไว้เมื่อพบกับปัญหาให้ใช้ปัญญาช่วยแก้ไขจงยอมรับปัญหาแล้วหาหนทาง ปรับปรุงแก้ไขด้วยความคิดในการต้องเสนอขายที่ว่า ผู้มุ่งหวังก็คือครูอีกคนหนึ่งของเราเหมือนกัน
9. ถือคติจะไม่ขี้เกียจ ขี้โกรธ และขี้โกง จงคำนึงถึงจรรยาบรรณในการขาย คือซื่อสัตย์ต่อตัวเรา อาชีพ ลูกค้า บริษัท และเพื่อนร่วมงาน
10. เมื่อท้อแท้ให้นึกถึงเป้าหมาย หรือเหตุผลที่เราเข้ามาทำอาชีพขายเสมอ อย่าทิ้งกลางคัน ถ้าถอยก็หมายหลัปักหลักกลับมาสู้กันใหม่


11. จงมองคนทุก ๆ คนที่เป็นผู้มุ่งหวัง แล้วหาบุคคลที่มีกำลังซื้อ หรือมีคนรู้จักมากในบุคคลในกลุ่มนั้น ๆ ก่อนเสมอ ต้องลุย และต้องตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง ข้อสำคัญอย่าลืมหาบุคคลที่จะเป็นศูนย์อิทธิพลให้เรา จงฉวยโอกาสที่จะขยายธุรกิจตลอดเวลา
12.
หากำลังใจจากเพื่อนร่วมงาน หรือผู้จัดการทีม โดยเลือกกับคนทีมีทัศนคติแง่บวก และหลีกเลี่ยงเพื่อนที่มีทัศนคติในทางลบ
13.
บอกกับตัวเองว่า เราต้องการเอาชนะ โดยให้กำลังใจกับตนเองบ่อย ๆ อย่าลืมคิดถึงเป้าหมายเสมอ
14.
ฝึกเป็นคนใจคอหนักแน่น เข้มแข็ง จิตใจสงบไม่เป็นคนหลุกหลิก ลุกลี้ลุกลนโดยทำลายในสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ความโกรธ ความพยาบาท ความกลัว ความวิตกกังวล
15.
จงเป็นตัวของตัวเอง ไม่พึงใคร รู้ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรถูกอะไรไม่ถูก แล้วฝึกหัดตัดสินใจเอง
16.
หัดมองโลกในแง่ดี มีนิสัยสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ร่าเริงสนุกสนาน แต่ไม่ถึงกับตลกโปกฮา โดยจัดสภาพแวดล้อมที่อยู่ ที่ทำงานให้น่าอยู่น่าทำงาน และประกอบแต่กิจธุระที่เป็นกรรมดีเสมอ
17.
รู้จักคุณค่าของเวลา ไม่คิดน้อยใจในโชควาสนา หรือโชคชะตาของตนไม่ควรอายใครเมื่อเรายากจนหรือเรียนน้อยกว่าคนอื่น ขอให้คิดว่าไม่ใช่ความผิดของเรา ความจนไม่ใช่ความชั่วร้าย ไม่ใช่อาชญากรรม บุคคลที่สร้างความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในอดีต หรือทางประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีกำเนิดเพราะความต่ำต้อย ถ้าได้พยายามก็สำเร็จ
18.
ปฏิเสธตัวเองที่จะไม่ยอมทำความชั่วทั้งปวง จงถือคติว่าชนะคนอื่น ชนะธรรมดา ผู้แพ้แก้แค้นได้ชนะตนเอง ชนะเลิศ เป็นชัยชนะที่เที่ยงแท้แน่นอนได้แก่ในเรื่อง
-
ไม่ยอมทำตามความต้องการของร่างกาย คือ อยากสบาย
-
ไม่ยอมฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย
-
ไม่ตกเป็นเหยื่อของเครื่องล่อใจ
-
ไม่ยอมเดินออกนอกทางที่เป็นจุดมุ่งหมาย หรือเป็นเป้าหมาย

19.
สร้างจินตนาการ และจูงใจตนเองอยู่เสมอ ในเรื่องของความสำเร็จโดยคิดต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในใจเสมอ
-
เชื่อว่าทำได้
-
เป็นไปได้
-
ภาพแห่งความฝัน กำลังกลายเป็นความจริง
-
ความรู้สึกที่จะได้มาซึ่งในสิ่งที่เราหวัง และฝัน
-
มั่นคงมุ่งตรงสู่เป้าหมาย
-
สำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ

ฯลฯ
20.
กระตุ้นตนเองด้วยการสรรหาคำคมมากระตุ้นตนเองเสมอ ไม่ว่าจะเป็น บทกวี บทกลอน คำโคลง คำคม คำที่มีพลัง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
คนที่ชอบคุยว่าไม่เคยทำงานพลาด ก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย
อายุที่เราได้นั้น คือชีวิตที่เราสูญเสียไป
เขาทำเราดู เขาพูดเราฟัง เขาคิดเราก็คิด
ความดีที่ควรคง คือความตรงต่อหน้าที่
ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ คงร่ำรวยกับเขาบ้าง
เงินที่ได้ ไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ
ปิดปากไว้ไม่พูดจา ดีกว่านินทาเพื่อนบ้าน
อันของสูงแม้ปองจิตต์ ถ้าไม่คิดปีนป่านจะได้หรือ
มีผู้ใดบ้างในโลกนี้ ที่ขึ้นไปสู่ที่สูงได้โดยไม่เหยียบบันไดขั้นต่ำก่อน
ยามมีให้นึกถึงยามจน อย่าปล่อยให้ยามจนมานึกถึงยามมี
ความดีทั้งหลายนั้น มักจะมีความไม่ดีเปรียบเทียบเสมอ
เมื่อคนเรายังมีลมหายใจอยู่ ก็ไม่ควรจะหมดหวัง
ผู้ที่มีชีวิตอยู่ได้ ก็คือผู้ที่ต่อสู้
วันเวลาที่ผันผ่าน หมายถึงโอกาสที่เหลือน้อยลงทุกที
อย่าทำตัวเป็นผู้รับแต่ฝ่ายเดียว จงทำตัวเป็นผู้ให้ด้วย
อย่าพยายามทำสิ่งที่ได้ให้เท่ากับใจ จงพยายามทำใจให้เท่ากับสิ่งที่เราได้
คำเตือนของผู้อื่นก็เหมือนกับขุมทรัพย์ คนชี้โทษก็เหมือนกับคนชี้ขุมทรัพย์
เราอาจจะได้รู้จักกับโลกอันสดสวย และมีอิสระภาพ หากเรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
ผู้ที่มีเวลาว่างมากที่สุด คือผู้ที่มีรายได้น้อยที่สุด
คนเรานั้นชอบที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ และสิ่งต่าง ๆ ที่คนเรียนรู้นั้นย่อมสอนกันได้เสมอ
ถ้าพูดโดยไม่คิด เท่ากับพ่นพิษใส่คนอื่น
ถูกคนอื่นหลอก ไม่เท่ากับหลอกตัวเอง
จงคิดทุกคำที่พูด อย่าพูดทุกคำที่คิด
ในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ปลาย่อมว่ายทวนน้ำเสมอ  ปลาที่ลอยตามน้ำมีแต่ปลาตาย มนุษย์ต้องสู้อุปสรรคเหมือนปลาที่ว่ายทวนน้ำ  ผู้ที่ปล่อยโชคชะตาไปตามเหตุการณ์ ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว
ว่าวลอยขึ้นสูงได้เพราะเหตุที่ต้านลม  ถ้าหมดลมว่าวก็จะตก มนุษย์เราจะขึ้นสูงได้ ก็เพราะการต่อต้านอุปสรรค ชีวิตที่ไม่เคยประสบอุปสรรค จะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย
กำลังใจ เป็นกระแสไฟฟ้าที่ทรงพลังที่สุด เป็นสิ่งที่ยั่งยืนถาวร และให้คุณนานัปการ สามารถหนุนให้มนุษย์ทำสิ่งมหัศจรรย์มากแล้ว ไม่มีอำนาจอื่นใด จะมีพลังเท่า กำลังใจ ที่ดี
ชีวิต คือการต่อสู้ ศัตรู คือยาชูกำลัง อุปสรรค คือหนทางแห่งความสำเร็จอันดี


วิธีการเข้าควบคุมชีวิต

ขั้นตอนแรก กำหนดลำดับความสำคัญ
การ ที่จะบริหารความเครียดได้ดีนั้นเราต้องเข้าควบคุมกิจกรรมในชีวิตประจำวันให้ ได้อย่างสมบูรณ์ นี่หมายความว่าเราต้องวางแผนแต่ละวันของเรา ให้กำหนดลำดับงานตามความสำคัญแล้วทำงานที่มีคุณค่าสูงๆก่อนตามลำดับ สิ่งที่สำคัญซึ่งขาดไม่ได้เลยในการบริหารเวลาก็คือ การมีสมาธิ ซึ่ง เป็นความสามารถในการมุ่งความสนใจอย่างไม่วอกแวกไปที่หนึ่งสิ่ง อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานั้น แล้วก็ทำให้สำเร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
ขั้นตอนที่ 2 ซอยย่อยเวลางาน
นี่ ไม่ใช่ความท้าทายที่ยากที่สุดเท่านั้นที่ผู้จัดการเผชิญ แต่ความสามารถในการมุ่งสมาธิหนึ่งเดียวน่าจะเป็นความสามารถที่หาได้ยากที่ สุดขณะทำงาน งานที่สำคัญที่สุดของเราต้องใช้ช่วงเวลาซอยย่อยที่กินเวลานาน เราจำเป็นต้องวางแผนและจัดระบบแต่ละวันของเราในแบบที่เราแบ่งเวลาที่ถูกซอย ย่อยเหล่านี้ให้เราสามารถทำงานซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของเราให้ได้
ขั้นตอนที่ 3 พลังงานที่แตกระเบิด
สิ่ง ที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการกำหนดลำดับความสำคัญและมุ่งความสนใจหนึ่งเดียว อย่างไม่วอกแวกก็คือว่า ณ นาทีที่เราทำสองสิ่งนี้เราจะเริ่มรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ อย่างยอดเยี่ยมและรู้สึกดีกับตัวเองมากๆ ขณะที่เราทำงานที่สำคัญที่สุดของเราเข้าใกล้ความสำเร็จนั้น เราจะรู้สึกว่ามีพลังงานไหลซ่านอย่างกระตือรือร้น เมื่อเราทำสิ่งที่สำคัญและเกี่ยวเนื่องกับงานของบริษัทและของเรา พวกเราจะรู้สึกว่าตัวเองมีพลังงานที่แตกระเบิดออกมาอย่างมหาศาล เราจะรู้สึกว่ามีความนับถือตัวมากขึ้นอีก เพราะเรารู้สึกดีกับตัวเอง เรารู้สึกว่าเราก้าวหน้าไปได้มากมายเข้าใกล้ความสำเร็จในอาชีพการงาน เรารู้สึกราวกับว่าเรากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสร้างความแตกต่างให้เกิด ขึ้น
อ. มีแบบฝึกหัดให้พวกบรรดาเศรษฐีได้ลงมือปฏิบัติทิ้งท้าย ตอนนี้เราสามารถนำไอเดียสองอย่างไปใช้ทันที เพื่อมุ่งสมาธิทำงานที่สำคัญที่สุดของเราให้สำเร็จคุ้มค่ากับเวลา
ข้อที่หนึ่ง ให้วิเคราะห์งานก่อนจะเริ่มทำด้วยการถามว่า งานอะไรล่ะที่ถ้าฉันทำอย่างรวดเร็วและทำได้ดี และจะก่อให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่ที่สุดต่องานของฉัน?” ไม่ว่างานนั้นจะเป็นอะไร
ให้ลงมือทำมันทันที เช่น งานเอ็มแอลเอ็ม เป็นต้น

ข้อที่สอง เมื่อเราเริ่มที่จะทำงานที่มีคุณค่าสูงนั้น ให้ใช้วินัยกับตัวเองโดยพูดซ้ำๆว่า ทำ ทำ ทำ ซึ่งจะบังคับให้พวกเรามุ่งอยู่กับงานโดยไม่วอกแวกจนกว่างานจะเสร็จ
ชีวิตสร้างสรรค์เป็นของจริงได้ไหม
ชีวิตคนเราจะเกิดมาทำไม หากต้องทนมีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว เพื่อนนินทา แฟนทอดทิ้ง เจ้านายไม่รัก วันแล้ววันเล่าที่เราทำในสิ่งเดิมเดิม เพราะเกรงว่าบุคคลแวดล้อมของเราจะไม่พึงพอใจ กังวลว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งเราไม่อาจรับมือกับมันได้ เราเก็บกดความหวาดกลัวนี้ไว้โดยไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งว่า ตัวเราเองก็ลืมมันไปเหมือนกัน แต่มันไม่เคยหายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก เบื่อหน่าย เปลี่ยวเหงา และเฉื่อยชา คือ เสียงสะท้อนความหวาดกลัวที่เงียบงัน
ความกลัวที่ว่านี้จะไม่มีพิษภัยอะไร ถ้าเราเกิดและเติบโตมาในยุคอุตสาหกรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องการความมั่นคงแน่นอน หากทว่าในศตวรรษที่ 21 ซึ่งโลกเรียกร้องให้ทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง ต้องลุกขึ้นมา "Creative" สร้าง ความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์และงานประจำที่น่าเบื่อหน่าย สร้างความโดดเด่นในบุคลิกภาพ ทั้งเพื่อกระตุ้นเพศตรงข้ามและเพิ่มสีสันให้เจ้านายรักใคร่ ใครที่อ่อนด้อยเรื่องความสร้างสรรค์ ก็จะถูกลืมเลือนและทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนกำลังสนุกรื่นเริงกันในงานเลี้ยงสร้างสรรค์ แต่กลับทิ้งให้เราต้องอยู่เฝ้าบ้านอย่างเดียวดาย เกิดมาแล้วทั้งชีวิต คุณไม่คิดอยากจะทิ้งผลงานอะไรที่ซี้ดซ้าดจนกระทั่งทนไม่ไหว ให้โลกใบนี้ได้จดจำบ้างเลยหรือ ?
1. จงเคี่ยวข้นมิตรภาพเดิมให้ล้นทะลัก แล้วเปิดใจน้อมรับมิตรภาพใหม่ที่ซาบซ่าน สูตร สำเร็จของการเป็นมนุษย์สร้างสรรค์ (Creative Talent) ที่เคยเป็นดินแดนลี้ลับ แต่ตอนนี้ไม่ลับอีกต่อไปแล้วก็คือ การสร้างเครือข่ายและบทสนทนากับผู้คนที่หลากหลายสาขา เพื่อเชื่อมโยงความคิดที่เข้ากันไม่ได้ให้ปะทุกลายเป็นไอเดียใหม่สุดหรูเลิศ
หากเราเป็นวิศวกรก็ควรจะไปลองจิ๊จ๊ะกับศิลปินดูบ้าง เผื่อจะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เย็นชาของเรามีความใส่ใจต่อลูกค้ามากขึ้น นับจากความลับนี้ถูกเปิดเผย คนที่รู้ก็เร่งพาตัวเองเข้าไปหาความแปลกใหม่กันอย่างไม่บันยะบันยัง เผื่อหวังว่าตัวเองอาจจะ รวย จากความคิดสร้างสรรค์ที่ล้นทะลักนี้ แต่มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิด !
ความสร้างสรรค์ เป็นเรื่องยาก เพราะชอบเกิดขึ้นมาในจังหวะที่เราไม่รู้ตัว ยามที่เรากำลังแอบมองสาวสักคน โดยที่ไม่ให้ผัวของเธอสังเกตเห็น ความคิดดีเลิศก็พลันอุบัติขึ้นมา เรารีบหยิบปากกามาจด และปล่อยให้สาวสวยของเราเสียความมั่นใจ ยิ่งเราพยายามจะรีดเค้นความคิดสุดยอดจากเพื่อนใหม่ในหลากหลายวิชาชีพเพราะ คิดว่าจะให้ไอเดียเฉียบคม เราก็ยิ่งพบกับความตีบตัน ศิลปินมืออาชีพจะไม่มีวันทำสิ่งที่ตลกเช่นนี้ พวกเขาเพียงแต่ละเอียดอ่อนในการสังเกตสังกาชีวิตประจำวันรอบตัว ฟังเสียงนกร้องในวันที่ต้องทนฟังเสียงเมียบ่น เพื่อจะค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างกัน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ แล้วคิดเชื่อมโยงไปว่าเจ้าของบทความจะรู้สึกอย่างไร ถ้าแม่ค้ากล้วยแขกไม่สนใจในข้อเขียนที่ยิ่งใหญ่นี้ ขณะที่มือกำลังพับกระดาษให้กลายเป็นถุงใบหนึ่งที่แสนธรรมดา จงกลับไปสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มเดิม หากทว่าหมั่นสังเกตบางสิ่งที่เคยละเลย อย่ามัวแต่คีบซูชิมาป้ายวาซาบิและจุ่มเข้าปาก ลองสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อนในการรับประทานของหวาน ฟังในสิ่งที่เพื่อนพร่ำบ่น แล้วสังเกตว่าอารมณ์ในขณะนั้น เข้ากับชุดทำงานที่ใส่อยู่หรือไม่ ทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่า ล้วนแต่มีคุณค่าให้ชื่นชม อย่ามัวแต่สนทนาหรือสังเกตสังกาเพื่อซึมรับวัตถุดิบสร้างสรรค์ให้มากที่สุด ขอให้ใช้ชีวิตกับเพื่อนทุกคนอย่างรื่นรมย์ เอาใจใส่ในรายละเอียดของเพื่อนให้มากขึ้น รู้จักหยอดมุขและหว่านเสน่ห์เป็นครั้งคราว เพราะความสร้างสรรค์นิยมมาเกิดในฉับพลันที่เราปล่อยวางและสนุกสนาน นี่คือ รางวัลตอบแทนในการดูแลกันและกัน
2. หัวเราะให้กับความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่
คนธรรมดาอย่างเราคงไม่โง่พอที่จะนั่งทดลองนับ 1000 ครั้ง เพียงเพื่อที่จะได้ 1 หลอดไฟที่ยิ่งใหญ่ เหมือนดั่งเอดิสันพิสูจน์ให้โลกตะลึง ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ยากยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่เรากลับลืมไปว่า ชีวิตมนุษย์แสนสั้น จะอายอะไรกันนักหนา ทำไมเราไม่แปรเปลี่ยนความล้มเหลวของเราให้เป็นเรื่องตลกในวงเหล้า ทำไมเราไม่สอดใส่ดราม่าหรือสตอเบอรี่เข้าไปในเรื่องเล่าแห่งความล้มเหลวที่ ยิ่งใหญ่ของเรา ความล้มเหลวที่แท้จริง คือ การทำให้เรื่องเล่าเกี่ยวกับความล้มเหลวของเรานั้นจืดชืดจนไม่มีใครใส่ใจ ไยดี ไม่มีแม้แต่คำประณามด่าทอ การนำเรื่องราวความล้มเหลวมาทำให้เป็นมุขขบขัน ไม่เพียงช่วยสร้างประโยชน์ให้มีเรื่องเม้าท์กันแก้เลี่ยน บางทีอาจปลุกให้สาวเซ็กซี่ร่วมโต๊ะที่กำลังแชตบีบีอย่างไม่ลืมหูลืมตา ได้ลุกขึ้นมาแล้วกล่าวยินดีกับความสำเร็จในการเล่าเรื่องราวความล้มเหลวของ เรา แต่ที่สำคัญสุดคือ การได้รับฟีตแบคที่น่าสนใจว่า ทำไมเราจึงล้มเหลว เราน่าจะปรับปรุงอะไรบ้าง หรือเราควรจะไปตายแล้วเกิดใหม่
อย่าลืมว่าในข้อ 1 เราได้แนะนำไปแล้วว่า จงอย่าเพียงฟังสิ่งที่เพื่อนพูด แต่ให้ฟังสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาด้วย เมื่อกลิ่นน้ำหอมของเพื่อนชาย โชยเข้ามาในขณะที่เรากำลังจะจบการพรรณาที่ยืดยาวเกี่ยวกับความล้มเหลวที่น่า ทึ่งของเรา เมื่อทุกสิ่งประสานกันอย่างลงตัว ในนาทีนั้นเอง ไอเดียสุดยอด ก็พลันบังเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จะเป็นอะไรไปเล่า ถ้าจะทดลองทำ แล้วล้มเหลวอีกสักครั้ง อย่างน้อยกลิ่นน้ำหอมของหนุ่มหล่อคนนั้นก็ช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน
3. จงทำอย่างนักคิด และจงคิดอย่างนักทำ
ประโยคสวยหรูนี้ดีเยี่ยม แต่ก็อาจทำให้คุณไขว้เขวได้ง่ายดาย เพราะแท้จริงแล้วกระบวนการคิดและกระบวนการทำไม่ได้แยกขาดกันอย่างที่คนส่วน ใหญ่เข้าใจ เปรียบประดุจได้ดั่งการสำเร็จความใคร่ทางปัญญา กับการสำเร็จความใคร่ทางร่างกาย แม้นว่าจะมีความเหนื่อยยากและขั้นตอนที่แตกต่างกันไกลลิบ แต่ทั้งสองสิ่งก็ทำให้เกิดความสุขเสียวซ่านได้ดุจเดียวกัน ความคิดและการลงมือทำจึงไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่เห็น เราถูกสอนมานานแต่ยุคพระเจ้าเหาว่า จงคิดก่อนทำแต่ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ชื่นชอบโปรโมตนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์กันโจ่งครึ่มเช่นนี้ เราจะต้องคิด-ทำ-คิด ให้เป็นกระบวนการต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เพราะในระหว่างลงมือทำนั้น ความคิดสุดยอดอาจโผล่เข้ามา ถ้าเราหวาดกลัวที่จะรื้อและทำใหม่ ถ้าเราเสียดายผลงานชั้นดีที่กำลังไปด้วยสวย เราก็ไม่มีวันผลิตผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้

ในทำนองขัดกัน ขณะที่ความคิดเราเดินทางมาถึงทางตัน หรือความคิดที่เราไปขโมยมาจากคนอื่นมากมายหลากหลายกำลังขัดกันอย่างน่าโมโห ก็โปรดจงหยุดคิดบ้าง แล้วขยับแข้งขาเพื่อลงตีนทำ บางทีมันอาจช่วยให้ความคิดหลากหลายที่กำลังกวนบาทาเราอยู่ ได้รู้จักตัวเองและเชื่อมโยงในมุมพิสดาร (Recombination) จนสังเคราะห์เป็น 1ไอเดียสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ ส่วนอีก 999 ความคิดที่อุตส่าห์ขโมยเค้ามาอย่างยากเย็น ก็โยนทิ้งถังขยะไปได้เลย เพราะเราค้นพบแล้ว ไชโย หรือว่าแอบไปคืนเจ้าของเขาดีมั้ยหนอ... 










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น